THG จ่อตั้งสำรองอีก 81 ล้าน ด้าน'จิณณ์ เวลบีอิ้ง' ยอดโอนต่ำ-ต้นทุนสูง
THG รับจ่อตั้งสำรอง 100 % สินปี 67 อีก 81 ล้าน จากลูกหนี้กลุ่มผู้ปวยช่วงโควิด 3 กลุ่ม โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ยอดขายไม่ตามเป้ากระทบก่อสร้างเฟส 2 และ 3 มูลค่า 840 ล้านบาทเลื่อนออกไปอีก 1ปี
บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ชี้แจงตามที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวัน ที่ 30กันยายน 2567 และโครงการจิณณ์เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้นั้น
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้ประชุมกันเมื่อวันที่20ธันวาคม 2567 โดยได้พิจารณาข้อสอบถามเพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพยฯ และขอเรียนชี้แจงดังนี้
1. การตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ ตามงบการเงินรวมของ บริษัทฯ สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทฯ ได้ตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากการดำเนินงานของบริษัทฯ (“ค่าเผื่อฯ”) รวมทั้งสิ้นจำนวน 336 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 343 % เมื่อเทียบกับงบการเงินรวมของบริษัทฯ สำหรับปีบัญชีสิ้นสุดวันที่31 ธันวาคม 2566 นั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงสาเหตุและ รายละเอียดตามกลุ่มลูกหนี้ค่าเผื่อฯ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1.1 กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 บริษัทฯ และบริษัทย่อยอันได้แก่ บจ. โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง บมจ. โรงพยาบาลราษฎร์ ยินดี บจ. ตรังเวชกิจ และบจ. ธนบุรีเวลบีอิ้ง (“บริษัทย่อยฯ”) มีลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 ซึ่งรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้านบาท สาเหตุของการรับรู้ค่าเผื่อฯ ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวนรวม 284 ล้าน บาท นั้นเป็นเพราะที่ผ่านมา บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ประสบปัญหาเกี่ยวกับการได้รับชำระเงินจากหน่วยงานภาครัฐใน ส่วนของการเบิกจ่ายจากการให้บริการรักษาพยาบาลในช่วงของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
โดยในช่วงปี 2564 – 2566 บริษัทฯ และบริษัทย่อย โดยเฉพาะ บจ. โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง (“THB”) ได้รับรู้รายได้จากการให้บริการ ผู้ป่วยในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และมีการประมาณการส่วนลดเพื่อสะท้อนจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้รับชำระซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราที่ได้รับชำระจริงในอดีต
โดยใช้อัตราส่วนที่คาดว่าจะได้รับชำระในช่วงระหว่าง 29 - 60 % ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามหลักความระมัดระวัง และเป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป
ในปี2567 เนื่องจากบริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ได้รับรู้รายได้โดยรับรู้ประมาณการส่วนลด ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลและอัตราส่วนลดที่เกิดขึ้นจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 มี สถานะค้างชำระนานเกินกว่า 365 วัน และการชำระหนี้จากหน่วยงานภาครัฐที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ
แม้ว่าบริษัทฯ และ บริษัทย่อยฯ จะติดตามทวงถามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงในการไม่ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในอนาคต ดังนั้นเพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางการเงินอย่างเหมาะสมและระมัดระวัง บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จึงได้ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 75 % ของมูลหนี้คงเหลือ
อย่างไรก็ตาม หากภายในสิ้นปีบัญชีสิ้นสุดวีนที่ 31 ธันวาคม 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ ยังไม่ได้รับการชำระหนี้คืนจากหน่วยงานภาครัฐสำหรับลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วย UCEP COVID-19 นี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยฯ จะพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมเป็น 100 % ของมูลหนี้คงเหลือ ซึ่งจะมีมูลค่าประมาณ 81 ล้านบาท การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ ดังกล่าวสะท้อนถึงการประเมินความเสี่ยงผลขาดทุนด้านเครดิตและเป็นการดำเนินการตามหลักความระมัดระวัง
1.2 ลูกหนี้กลุ่มผู้ป่วยซึ่งรับผิดชอบชำระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยตนเองโดยไม่ผ่านบุคคลที่สาม เช่น บริษัทประกันสุขภาพ (“ลูกหนี้Self-pay”) ในปี 2566 บริษัทย่อยของ บริษัทฯ รายบริษัท โรงพยาบาลธนบุรีบำรุงเมือง จำกัด (“THB”) ได้ บันทึกบัญชีลูกหนี้คงค้างในกลุ่มลูกหนี้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 42 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลทางบัญชีอย่างละเอียด ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ ได้พิจารณาแล้วว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่อาจไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้เพื่อให้การ บันทึกบัญชีสะท้อนถึงสภาพการณ์ที่แท้จริง และสอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง บริษัทฯ จึงได้ตัดสินใจตั้งค่าเผื่อฯ ไว้เต็มจำนวนสำหรับยอดลูกหนี้ดังกล่าว
1.3 ลูกหนี้การค้าอื่น และลูกหนี้อื่นในไตรมาสที่ 3 ของปี2567 บริษัทย่อยของบริษัทฯ ราย บจ. ตรังเวชกิจ ตั้งค่าเผื่อฯ จำนวน 1ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้การค้าอื่น ซึ่งเป็นการตั้งค่าเผื่อฯ เพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งค้างชำระนานเกินกว่า 180 วัน เพื่อสะท้อนถึงสถานการณ์ด้านเครดิตของลูกหนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลง
ในช่วงเวลาเดียวกัน THB ได้ตั้งค่าเผื่อฯ เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท สำหรับรายการลูกหนี้อื่น โดยบริษัทฯ พิจารณาแล้วเห็นว่ารายการดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงที่จะไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้และถือเป็นรายการอันควรสงสัย โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเปิดเผยข้อมูลนี้ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่25 พฤศจิกายน 2567 ในรูปแบบของรายการอันควรสงสัยและได้จัดส่งรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการดังกล่าวไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว
ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมีความเห็นเพิ่มเติมดังนี้
การตั้งค่าเผื่อฯ สำหรับลูกหนี้กลุ่ม COVID-19 ในจำนวนที่มีนัยสำคัญ เป็นการดำเนินการตามหลักความ ระมัดระวังแม้ว่าลูกหนี้จะเป็นหน่วยงานภาครัฐ สำหรับลูกหนี้อื่นนั้น บริษัทฯ ได้ดำเนินการเช่นเดียวกัน ซึ่งบริษัทฯ ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้วก่อนหน้านี้และอยู่ระหว่างการดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อปกป้องสิทธิและ ผลประโยชน์ของบริษัทฯ การตั้งค่าเผื่อฯ ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพคล่องของกลุ่มบริษัทฯ เนื่องจากผลประกอบการจาก การดำเนินงานตามปกติ(ไม่รวมการบันทึกบัญชีค่าเผื่อฯ) ไม่ได้ประสบภาวะขาดทุนจากการดำเนินงานแต่อย่างใด
การพิจารณาตั้งค่าเผื่อฯ นั้นบริษัทฯ ได้มีการหารือร่วมกับผู้สอบบัญชีเป็นประจำทุกปีโดยยึดหลักความ ระมัดระวังที่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เป็นกระบวนการที่ เป็นไปตามปกติของการดำเนินธุรกิจ หากมีความจำเป็นต้องตั้งค่าเผื่อฯ หรือรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่า บริษัทฯ จะพิจารณาและดำเนินการตามมาตรฐาน การบัญชีที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลทางการเงินสะท้อนถึงสถานะและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ
2. รายการกับ Bewell Saigon Health Clinic Company Limited ในปี 2566 บริษัทฯ ได้เข้าทำข้อตกลงร่วมทุนกับ IFF Holdings Joint Stock Company เพื่อจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งโดย IFF Holdings Joint Stock Company จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 60 % และบริษัทฯ (หรือบุคคลที่ได้รับ การแต่งตั้งจากบริษัท ฯ) จะถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 40 % (“บริษัทโฮลดิ้ง”) และบริษัทโฮลดิ้งจะถือหุ้น 100 % ใน Bewell Saigon Health Clinic Company Limited (“Bewell”) ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นในประเทศเวียดนามเพื่อดำเนิน ธุรกิจคลินิกตรวจสุขภาพเชิงลึก
โดย IFF Holdings Joint Stock Company มิได้เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ แต่ อย่างใด ในปี2566 และ 2567 บริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินในรูปแบบเงินให้กู้ยืมแก่ Bewell เพื่อใช้สำหรับการตกแต่งสถานที่ ซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือและการเช่าพื้นที่สำหรับการตั้งคลินิกระยะเวลาเงินกู้ไม่เกิน 12 เดือน อัตราดอกเบี้ย 5 % ต่อปี ณ ปัจจุบัน
Bewell มีภาระหนี้คงค้างประมาณ 49 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) นอกจากนี้ผู้ร่วมทุน IFF Holdings Joint Stock Company ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ Bewell เช่นกัน จำนวนประมาณ 12.5 ล้านบาท (เทียบเป็นเงินบาทไทย) พร้อมทั้งสนับสนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ทางการเงิน เช่น การจัดหา สถานที่การบริหารและควบคุมกระบวนการก่อสร้าง ตลอดจนการจัดเตรียมความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
สำหรับเงินกู้บางส่วนซึ่งบริษัทฯ ได้ให้แก่ Bewell จำนวนประมาณ 12.6 ล้านบาท ซึ่งครบกำหนดชำระแล้วนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจาแปลงหนี้ดังกล่าวเป็นเงินลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง และ/หรือ Bewell โดยมีกำหนดเป้าหมายในการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี 2568 ในส่วนของใบอนุญาตดำเนินการคลินิกของ Bewell นั้น
บริษัทฯ คาดการณ์ว่า Bewell จะได้รับใบอนุญาตภายในไตรมาสแรกของปี 2568 ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารดำเนินการติดตาม ความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด และรายงานผลให้คณะกรรมการบริษัทฯ ทราบในการประชุมคณะกรรมการคราวถัดไปเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนด
3. รายการเกี่ยวกับหุ้นกู้ของบริษัทฯ จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ซึ่งไม่เป็นไปตามคาดการณ์รวมถึงรายการพิเศษที่ เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาทำให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาที่บริษัทฯ ทำไว้กับ Credit Guarantee and Investment Facility, a trust fund of the Asian Development Bank (“CGIF”) ในฐานะผู้ค้าประกันหนี้หุ้นกู้ของบริษัท ฯ
อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทฯ ไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินที่กำหนดไว้ตามสัญญา ได้นั้นไม่มีผลทำให้ผู้ค้ำประกันหุ้นกู้สามารถเพิกถอนการค้าประกัน หุ้นกู้ได้และไม่มีผลทำให้บริษัทฯ ตกเป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด
ทั้งนี้ผลจากการไม่สามารถดำรงอัตราส่วนทางการเงินดังกล่าวได้ทำให้บริษัทฯ มีภาระต้องชำระค่าปรับ ให้แก่ CGIF ตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งถือเป็นมาตรฐานปกติของสัญญาประเภทนี้ ทั้งนี้บริษัทฯ อยู่ระหว่างการหารือ ร่วมกับ CGIF เพื่อขอผ่อนปรนเงื่อนไขบางประการในสัญญา ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับข้อสรุปดังกล่าวภายในไตรมาส แรกของปี2568 ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทฯ เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเจรจาผ่อนปรน เงื่อนไขบางประการกับ CGIF เพื่อให้บริษัทฯ ไม่ต้องมีภาระทางการเงินที่เพิ่มขึ้นมากนัก
4. รายการเกี่ยวกับโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้
4.1 สถานะและความคืบหน้าของการขายโครงการ บริษัท ธนบุรีเวลบีอิ้ง จำกัด (“ธนบุรีเวลบีอิ้ง”) ยังคงดำเนินการขายโครงการจิณณ์เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ตามปกติซึ่งโครงการมีจำนวนห้องทั้งหมด 494 ห้อง ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 โครงการมีจำนวนห้องที่ยังไม่ได้ขายจำนวน 234 ห้อง
โดยธนบุรีเวล บีอิ้ง ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น การออกบูธประชาสัมพันธ์โครงการ และการนำเสนอโครงการผ่านช่องทาง สื่อสารต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายและสร้างความรับรู้ในตัวโครงการอย่างสม่ำเสมอ และในเดือนธันวาคม 2567 ธนบุรีเวลบีอิ้ง เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ ห้องชุดจำนวน 3 ห้อง
อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก ธนบุรี เวลบีอิ้ง ได้รับผลกระทบจากข่าวต่าง ๆ ในทางลบ ทำให้ลูกค้ายกเลิกการซื้อกรรมสิทธิ์ห้องชุดจำนวน 2 ห้อง และขายกรรมสิทธิ์ ห้องชุดสำเร็จเพียง 1 ห้อง
4.2 การเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน รายการซึ่งมีการเปลี่ยนการบันทึกโครงการจากสินทรัพย์หมุนเวียนไปเป็นสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน คือ ที่ดินที่ธนบุรีเวลบีอิ้งได้จัดสรรไว้สำหรับการพัฒนาโครงการจิณณ์เวลบีอิ้งเคาน์ตี้เฟส 2 และ 3 ในอนาคต
โดยที่ดินดังกล่าวมีขนาดพื้นที่ 28,469.44 ตร.ว. มูลค่าต้นทุน 840.39 ล้านบาท ซึ่งเดิมจัดอยู่ในประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน อย่างไรก็ตาม หลังจากการประเมินสถานการณ์โดยรอบคอบ บริษัทฯ เห็นว่าโครงการดังกล่าวมี ความเป็นไปได้สูงที่จะยังไม่มีการเริ่มต้นก่อสร้าง หรือพัฒนาในระยะเวลา 1 ปี ข้างหน้า ซึ่งตามมาตรฐานบัญชี หากสินทรัพย์ไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะเวลาสั้น และมีลักษณะการถือครองเพื่อการพัฒนาในระยะ ยาว
บริษัทฯ จำเป็นต้องปรับปรุงการจัดประเภทของที่ดินดังกล่าวจาก “สินทรัพย์หมุนเวียน” เป็น “สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน” เพื่อให้สะท้อนถึงลักษณะการใช้งานจริง และสอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต
4.3 การขายห้องชุดของโครงการจิณณ์เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ให้แก่บริษัท ที่เกี่ยวข้องกัน ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2567 ธนบุรีเวลบีอิ้ง มีรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาท ซึ่งเกิดจาก การขายห้องชุดแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) ให้กับบริษัท ราชธานีพัฒนาการ (2014) จำกัด ซึ่งราคาขายดังกล่าวได้ รวมค่าเฟอร์นิเจอร์ไว้ด้วยแต่เนื่องจากการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ยังไม่แล้วเสร็จธนบุรีเวลบีอิ้ง จึงยังไม่สามารถรับรู้รายได้ใน
ส่วนค่าเฟอร์นิเจอร์ตามมาตรฐานบัญชีได้ต่อมาบริษัท ดังกล่าวได้ข้อยกเลิกการติดตั้งเฟอร์นิเจอร์และธนบุรีเวลบีอิ้งได้หักกลบลบหนี้ระหว่างรายการค้างรับ และรายการค้างจ่าย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเสร็จสิ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดรายได้รอการรับรู้จำนวน 20 ล้านบาทนี้ไม่ถือเป็นหนี้สินทางบัญชีอีกต่อไป
ความเห็นคณะกรรมการบริษัท เห็นชอบกับการเปิดเผยข้อมูลตามรายละเอียดข้างต้น และมอบหมายให้ฝ่ายบริหารเน้นย้ำให้สาธารณชน รับทราบว่านายแพทย์บุญ วนาสิน ไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยโครงการนี้เป็นการลงทุนโดย ธนบุรีเวลบีอิ้ง ซึ่งเป็น บริษัทย่อยที่บริษัทฯ ถือหุ้นเกือบทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงปัจจุบัน
และโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ยังคงดำเนินการตามปกติ บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าข้อมูลข้างต้นจะช่วยเพิ่มความชัดเจนให้แก่นักลงทุน ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในหลักการบริหารจัดการที่โปร่งใส และมุ่งมั่นสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนในระยะยาว