ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 13.49 จุด UBS แนะนำ 'ซื้อหุ้นไทย' และ GULF ถือหุ้น KBANK

ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 13.49 จุด UBS แนะนำ 'ซื้อหุ้นไทย' และ GULF ถือหุ้น KBANK

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (19 มี.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,189.66 จุด เพิ่มขึ้น 13.49 จุด หรือ 1.15% โบรกชี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นหลัง UBS ปรับประมาณการหุ้นไทยขึ้นเป็น “แนะนำสะสม” หรือ “Overweight” รวมทั้งมีข่าว GULF เข้าถือหุ้น KBANK 3.25%

"ตลาดหุ้นไทย" วันนี้ (19 มี.ค.) ปิดตลาดเย็นอยู่ที่ 1,189.66 จุด เพิ่มขึ้น 13.49 จุด หรือ 1.15% โดยดัชนีฯ เคลื่อนไหวผันผวนทั้งวัน ซึ่งทำจุดสูงสุดอยู่ที่ 1,195.56 จุด จุดต่ำสุดอยู่ที่ 1,174.62 จุด สถานะตลาดอยู่ในช่วง OffHour มีมูลค่าซื้อขาย 40,305.29 ล้านบาท 

ตลาดหุ้นไทยปิดบวก 13.49 จุด UBS แนะนำ \'ซื้อหุ้นไทย\' และ GULF ถือหุ้น KBANK ภาวะหุ้นไทยวันนี้ (19 มี.ค.)

หุ้นที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่

  1. AOT ราคาปิด 41.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +3.80% มูลค่าซื้อขาย 2,439,052.88 ล้านบาท
  2. KBANK ราคาปิด 157.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท หรือ +0.96% มูลค่าซื้อขาย 2,257,374.50 ล้านบาท
  3. CPALL ราคาปิด 51.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท หรือ +1.49% มูลค่าซื้อขาย 1,841,051.23 ล้านบาท
  4. PTT ราคาปิด 29.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ +0.85% มูลค่าซื้อขาย 1,710,866.45 ล้านบาท
  5. ADVANC ราคาปิด 266.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท หรือ +1.14% มูลค่าซื้อขาย 1,653,908.50 ล้านบาท

หุ้นไทยปรับตัวขึ้นหลัง UBS ปรับคำแนะนำเป็น Overweight

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นได้หลังจาก UBS ปรับคำแนะนำหุ้นไทยเป็น Overweight รวมทั้งมีปัจจัยจำนวนหนึ่งสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น ตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับ valuation ที่ต่ำมาก ทำให้ราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว เมื่อมีปัจจัยกระตุ้นเพียงเล็กน้อย เช่น การปรับคำแนะนำจาก UBS ก็สามารถส่งผลให้ตลาดปรับตัวขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม นายเทิดศักดิ์แสดงความกังวลว่าการปรับตัวขึ้นในครั้งนี้อาจไม่มีความต่อเนื่อง หากไม่มีกระแสเงินเข้าสนับสนุนจากนักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ ตลาดอาจจะย่อตัวลงอีกครั้ง

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

นโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed): ตลาดได้รับรู้ข้อมูลแล้วว่า Fed จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบล่าสุด และคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งในปีนี้ คือ ในเดือนพ.ค.-มิ.ย. และก.ย.

นโยบายกำแพงภาษี: นายเทิดศักดิ์แสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายกำแพงภาษี ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยเพียงใด

นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย: มีรายงานจากโนมูระว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเหลือ 1% ภายในไตรมาสแรกของปีหน้า อย่างไรก็ตาม นายเทิดศักดิ์มองว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประเทศไทยประสบภาวะวิกฤตเท่านั้น โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2% ขณะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ประมาณ 1%

แนวโน้มตลาดวันพรุ่งนี้

นายเทิดศักดิ์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้จะยังคงมีความผันผวน และอาจเห็นการทำกำไร (Take Profit) บางส่วน เนื่องจากปัจจัยที่ขับเคลื่อนตลาดขึ้นยังไม่มีความต่อเนื่อง และยังไม่เห็นกระแสเงินลงทุนที่ชัดเจน สำหรับแนวรับและแนวต้าน นายเทิดศักดิ์ให้แนวรับไว้ที่ประมาณ 1,170-1,175 จุด และแนวต้านที่ประมาณ 1,200 จุด

คำแนะนำการลงทุน

ในสภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอนเช่นนี้ นายเทิดศักดิ์แนะนำให้เลือกลงทุนแบบ Selective และเน้นหุ้นที่มีอัตราเงินปันผลสูง (High Dividend Yield) โดยใช้วิธีทยอยซื้อ และควรพิจารณาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) ไม่ว่าจะเป็น ศุภาลัย (SPALI) - กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) - กลุ่มธนาคาร และบีดีเอ็มเอส (BDMS) - กลุ่มโรงพยาบาล โดยมีอัตราเงินปันผลประมาณ 3%

กัลฟ์เข้าถือหุ้นเคแบงก์ 3.25%กระทบหุ้นไทยแค่ไหน ?

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ ให้ความเห็นว่า การที่บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF เข้าถือหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ในสัดส่วน 3.25% นั้น ไม่ได้เป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมตลาดหุ้นไทยในวันนี้มากนัก โดยหุ้น KBANK ปรับตัวขึ้นเพียงประมาณ 1% เท่านั้น

ปัจจัยหลักที่หนุนตลาดหุ้นไทย

นายวิจิตร ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาดหุ้นไทยในวันนี้มาจากมุมมองเชิงบวกของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อตลาดไทยมากขึ้น ประกอบกับระดับค่า P/E ของตลาดหุ้นไทยที่อยู่ในกรอบประมาณ 12 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ไม่แพงและน่าสนใจสำหรับนักลงทุน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมจากแรงชอร์ตโคฟเวอร์ (Short Cover) ของนักลงทุนที่เคยขายหุ้นไปก่อนหน้านี้และต้องกลับมาซื้อเพื่อปิดสถานะ เมื่อตลาดเริ่มมีสัญญาณกลับตัว (Reverse) ในโซนล่าง

กัลฟ์กับเคแบงก์: ประเด็นที่น่าจับตา

นายวิจิตรมองว่า การที่กัลฟ์เข้าไปถือหุ้นเคแบงก์อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สิ่งที่น่าจับตามากกว่าคือการควบรวมระหว่างกัลฟ์กับอินทัช ซึ่งจะกลายเป็นบริษัทใหม่ที่มีศักยภาพและอาจกลายเป็นผู้นำตลาด (Leading Indicator) ตัวใหม่ของตลาดหุ้นไทยในอนาคต

นายวิจิตรชี้ว่า ในช่วงก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นไทยมีหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เป็นผู้นำตลาด เช่น เดลต้า และ แคลคอมพ์ แต่เมื่อเริ่มมีการปรับฐาน ตลาดอาจต้องหาผู้นำคนใหม่ ซึ่งกัลฟ์ภายหลังการควบรวมกับอินทัชอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือก

ความเชื่อมโยงระหว่างกัลฟ์และเคแบงก์

นายวิจิตรอธิบายว่า กัลฟ์มีประวัติการลงทุนในบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งสอดคล้องกับธุรกิจหลักของกัลฟ์ที่ดำเนินกิจการด้านพลังงานไฟฟ้า และมีความเชื่อมั่นในโครงสร้างพื้นฐานโดยรวม

สำหรับ ธนาคารกสิกรไทย นายวิจิตรมองว่าเป็นธนาคารที่มีความทันสมัยทางเทคโนโลยี เป็นผู้นำในด้านข้อมูล (Data) และเทคโนโลยีคริปโท ซึ่งไม่ได้ห่างไกลจากวิสัยทัศน์ของกัลฟ์มากนัก การจับมือระหว่างสององค์กรจึงอาจไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่างไรก็ตาม นายวิจิตรระบุว่า ยังต้องติดตามว่าการลงทุนครั้งนี้จะนำไปสู่การเป็นพันธมิตรหรือโครงการร่วมกันในอนาคตหรือไม่