หมอจบใหม่ลาออก บอกข้อคิดอะไรเรา | ธงชัย พรรณสวัสดิ์
ต้นเดือนมิถุนายนปี ๒๕๖๖ มีข่าวฮือฮาเป็นที่สนใจของทุกวงการนับตั้งแต่ ข้าราชการ นักธุรกิจ นักการเมือง ไปจนถึงชาวบ้านธรรมดา ข่าวนั้นก็คือเรื่องของหมอสาวจบใหม่คนหนึ่ง ที่โพสต์บอกถึงฟางเชือกสุดท้าย ที่ทำให้เธอไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้อีกต่อไป ด้วยภาระงานที่หนักเกิน
คือ รวมๆแล้วอาจต้องทำงานถึงสัปดาห์ละเป็นร้อยชั่วโมง เป็นใครก็ไม่ไหว
แรงกระแทกจากแค่โพสต์ๆเดียว
เดี๋ยวนี้เรื่องอะไรก็ตามที่มันติดกระแส เป็นไวรัลขึ้นมาเมื่อไร อะไรๆก็หยุดมันไม่ได้ เรื่องที่หมอสาวคนนี้โพสต์ไว้คงเป็นเพียงต้องการระบายความเครียดที่มีอยู่ในตัวออกไป แต่เมื่อมันไวรัล แชร์กันสนั่น
เรื่องที่เธอคิดว่าเป็นแค่เรื่องของคนตัวเล็กๆอย่างเธอ ไม่มีอะไรสลักสำคัญพอที่ผู้ใหญ่จะมาสนใจ ก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขต้องรีบประชุมเป็นการเร่งด่วน และต้องออกมาอธิบายถึงสิ่งที่เป็นไปในวงการแพทย์ไทยในปัจจุบันว่ามีขีดจำกัดอะไรและกระทรวงกำลังทำอะไร
บทเรียนจากกรณีนี้คือแรงกระแทกของโพสต์ที่โดนใจคน ต่อสังคมโดยรวมแบบนี้นับวันจะมีออกมาเรื่อยๆ เราต้องเรียนรู้และหาวิธีรับมือกับมัน ไม่ใช่เพียงเฉพาะเรื่องของแพทย์หญิงคนนี้คนเดียวเท่านั้น
ปัญหาหมอเครียดเป็นปัญหาใหญ่ไหม
ใหญ่แน่ ใครๆก็รู้ เพราะถ้าหมอทำงานหนักเกิน หมอเครียด หมอมีเวลาน้อยที่จะพูดคุยและให้คำปรึกษาแก่คนไข้ ดังนั้นคนที่เดือดร้อนในบั้นปลายก็คือ ชาวบ้าน ที่อาจตายได้เพียงแค่หมอวินิจฉัยและตัดสินใจเร็วจนพลาด
ถ้าคนตายนั้นเป็นผู้หารายได้หลักเข้าบ้านเรื่องก็จะไม่ใช่แค่พ่อตายแม่ตาย แต่จะมีผลกระทบไปถึงอนาคตของลูกหลาน ที่เมื่อไม่มีการศึกษาก็จะเป็นพลเมืองที่มีโอกาสน้อย กลายเป็นคนไม่ควรจนของสังคมต่อไปอีกเป็นลูกโซ่
ปัญหาที่ว่าใหญ่นั้นมาจากภาระงานที่เกินเลยของบุคคลากรทางการแพทย์ อันหมายรวมไปถึงพยาบาล เจ้าหน้าที่เทคนิค ไปจนถึงพนักงานเปล ฯลฯ ที่มีข่าวมาอยู่บ่อยในพักหลังที่โดนคนไข้ตบหรือแม้กระทั่งโดดถีบเอา
ที่น่าตกใจคือภาระงานที่เกินเลยไปมากนั้นรู้กันอยู่แล้ว มีตัวเลขฟ้องยืนยันอยู่ด้วยว่าหนักมากจริง
หมอ โดยเฉพาะหมอจบใหม่ มีทางเลือกอื่นไหม
หมอที่ต้องอยู่เวรเป็นบ้าเป็นหลังนี้เป็นหมอจบใหม่ เรียกกันว่า'หมอใช้ทุน'เพราะตอนเรียนไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน ใช้วิธีขอทุนจากหลวงเอา เมื่อจบมายังไม่เก่งนักจึงต้องมาหัดเรียนรู้งานจากหมอรุ่นพี่ นอกจากต้องตรวจคนไข้นอกแล้วยังต้องตรวจคนไข้ใน ต้องอยู่เวร ต้องเป็นผู้ช่วยหมออาวุโส ต้องอยู่ห้องฉุกเฉิน ฯลฯ อีกเยอะแยะ
เมื่องานมันหนักเกิน ทนไม่ไหวก็ต้องหาทางออก ทางหนึ่งคือการลาออก แบบที่หมอสาวคนนั้นได้ทำตามรุ่นพี่คนอื่นๆที่ได้ทำมาไว้แล้วก่อนหน้าเป็นสิบปี ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ที่ไม่ใช่ใหม่อะไรก็เพราะอาชีพแพทย์เป็นอาชีพที่มีรายได้สูง หากลาออกไปก็เอาเงินเดือนที่สูงขึ้นนั้นมาใช้หนี้แก่รัฐ
แต่รัฐไม่อยากได้เงินหรอก เงินแค่นี้นิดเดียว อยากได้หมออยู่กับโรงพยาบาลมาช่วยกันรักษาคนไข้ดีกว่า
ปัญหาหมอทนไม่ไหว ลาออกนี้ รู้กันมาก่อนไหม
รู้ครับ ดูตัวเลขที่หมอลาออกแต่ละปีดังในภาพที่เอามาแสดงประกอบก็ได้ หมอจบใหม่มาทำงานปีแรกยังสดจากมหาวิทยาลัย ยังมีแรง ยังทนได้ ถึงสิ้นปีมีอัตราลาออกเพียง 1.2% แต่พอขึ้นเป็นหมอใช้ทุนปีที่ 2 อัตราลาออกเพิ่มเป็นถึง 9.69%
พอเป็นหมอใช้ทุนปีที่ 3 ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้ว พอสู้กับภาระงานที่หนักนั้นได้แล้ว ตัวเลขก็ลดลงเป็น 4.4% ถามว่าตัวเลขพวกนี้สูงมากไหมก็ไม่สูงมากในเชิงตัวเลข แต่ถือว่าสูงมากในแง่การจัดการเพื่อดูแลคนไข้
จึงได้มีความพยายามหาทางแก้ไขกันอยู่ แต่เรื่องมันไม่ง่าย จะเพิ่มจำนวนหมอพยาบาลรวมทั้งคนงานก็ต้องขออัตรากำลังจากสำนักงานข้าราชการพลเรือน
ถ้าได้คนมาก็ต้องมีงบจ้างคน ต้องมีอาคาร ต้องมีเครื่องมืออุปกรณ์ ซึ่งก็ต้องไปขออนุมัติจากสำนักงบประมาณ เป็นเรื่องใหญ่ทั้งสิ้น หน่วยงานทางการแพทย์พยาบาลตัดสินใจเองไม่ได้ นี่เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ต้องการหน่วยเหนือขึ้นไปมาดูแลให้มากขึ้น
ถ้าเช่นนั้นจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรให้จบ
การแก้ปัญหานี้มีสองทาง แบบที่วงการธุรกิจเขาใช้กันเมื่อประสบปัญหาหนักๆ เช่น ในช่วงต้มยำกุ้งหรือในเหตุการณ์วิกฤติโควิด คือ หนึ่งเพิ่มรายได้ และสองลดค่าใช้จ่าย
วิธีแรกหรือการเพิ่มรายได้สำหรับกรณีคนไข้ล้นโรงพยาบาลจนหมอไม่พอนี้ ก็คือต้องไปทำความเข้าใจกับรัฐบาลและสำนักงบประมาณให้เข้าใจถึงความจำเป็นให้ได้ แต่เชื่อสิเรื่องนี้ไม่ง่าย ถ้าง่ายก็คงทำกันไปนานแล้ว
ไหนจะเรื่องค่าตอบแทนที่ต้องจูงใจมากขึ้นจากภาระงานที่หนักในขณะที่ปรัชญาชีวิตของคนรุ่นใหม่คือ work-life balance ไหนจะอาคารสถานที่ที่ต้องเพิ่มและต้องดีกว่าเดิมตามไปด้วย
ที่ร้ายไปกว่านั้นคือค่าใช้จ่ายด้านอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์ที่สามารถแพงกว่าตัวอาคารได้เป็นเท่าสองเท่า แบบที่เห็นที่โรงพยาบาลรามาธิบดีที่มีแผนจะสร้างอาคารรักษาพยาบาลขึ้นมาอีกหนึ่งอาคาร งบก่อสร้าง 3 พันล้าน แต่ราคาเครื่องมืออุปกรณ์สูงถึง 6 พันกว่าล้าน นี่ยังไม่รวมค่าที่ดินด้วยซ้ำ
พูดถึงงบประมาณ ก็ต้องพูดถึงค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นๆทุกปีของโรงพยาบาล ที่ทำให้โรงพยาบาลต่างมีรายได้ไม่พอรายจ่าย เกิดภาวะขาดทุน แต่การรักษาพยาบาลเป็นไฟต์บังคับ ต้องทำตลอดไป โรงพยาบาลปิดไม่ได้ งานยังต้องเดินต่อ
ตอนนี้เราจึงเห็นงานประชาสัมพันธ์รณรงค์เพื่อระดมทุนจากชาวบ้านของทุกโรงพยาบาล ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้จะโยงไปถึงวิธีการที่สอง คือ การลดค่าใช้จ่ายที่จะพูดถึงต่อไป
ทำอย่างไรจึงจะลดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลได้
ผมไม่ใช่หมอ ไม่ใช่นักการเงิน ไม่ใช่นักจัดการ แต่ผมเห็นว่ารากของปัญหามาจากจำนวนคนไข้ที่มากเกิน คือเรามีระบบสาธารณสุขที่ภูมิใจกันมากว่าได้รับคำชมจากองค์การอนามัยโลกว่ายอดเยี่ยม แต่องค์การนั้นไม่ได้มารับรู้ไปกับเราด้วยว่าการที่มีระบบรักษาฟรีทุกโรค ทุกคน นั่นเป็นภาระอันใหญ่เกินความสามารถด้านการเงินปัจจุบันของประเทศ
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด หมอสงวน นิตยารัมภ์พงศ์ คนต้นคิดโครงการสวัสดิการด้านการแพทย์ที่ดีมากนี้ มิได้ต้องการให้รักษาฟรีแก่ทุกคน ต้นเรื่องของโครงการของหมอสงวนตั้งใจจะรักษาฟรีเฉพาะคนยากจน ไม่รวมคนที่ไม่จนแต่อยากจนเพื่อที่จะขอรับบริการฟรี รวมทั้งมีมาตรการให้คนที่ไม่จนพวกนี้ต้องร่วมจ่ายด้วย
ถึงไม่มีแนวคิดนี้ในต้นเรื่องของหมอสงวนเรื่องร่วมจ่ายนี้ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะมันจะเป็นความยุติธรรมให้ทั้งแก่แต่ละคนและแก่ประเทศชาติโดยรวม
ถ้ามีระบบร่วมจ่ายต่อทุกครั้งที่มารับการรักษา ก็จะทำให้คนที่ไม่จนจริงต้องคิดว่าจะคุ้มไหมที่จะไปโรงพยาบาลแล้วไม่ต้องจ่ายอะไรเลยอย่างเคย ส่วนราคาร่วมจ่ายจะเป็นเท่าไรนั้นก็ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญไปช่วยคิดมาให้
ถ้าเป็นผม ผมจะให้ร่วมจ่ายแบบเป็นขั้นบันไดด้วย คือ หากรายได้เกินขั้นต่ำแต่เกินไม่มากก็จ่ายน้อย ถ้าเกินแยะก็ต้องจ่ายมาก โดยใช้ระบบ Big Data มาช่วยวิเคราะห์และกำกับ
หากทำได้เช่นนี้จำนวนคนไข้ที่ไปโรงพยาบาลจะลดน้อยลง ภาระงานของหมอก็ลดน้อยลง ความเครียดจะจางลง หมอลาออกน้อยลง คนไข้ก็แฮปปี้
ใครจะรับงานส่วนนี้ไปทำต่อ
หนีไม่พ้นที่ต้องเป็นนักการเมืองและรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านการคลังและการสาธารณสุขรวมถึงสำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ซึ่งถ้าเขาไม่เข้าใจถึงความรุนแรงของปัญหาและไม่ดำเนินการต่อ หมอก็จะลาออกเพิ่มขึ้น
ส่วนพวกเราชาวบ้านคนไทยก็จะต้องเสียเวลาเป็นวัน เพียงเพื่อเข้าไปพบหมอสองนาที อย่างที่เป็นกันมานับสิบปีแล้ว
ก็ได้แต่หวังว่า จากคลิปไวรัลของแพทย์หญิงคนนั้นจะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าเป็นได้จริงตามนี้คนไทยทุกคนคงต้องไปกราบหมอสาวคนนั้นอย่างงามๆกันละ.