ผู้หญิงเสี่ยง 'ตกงาน' มากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานที่ AI มาทดแทนได้ง่ายกว่า ?!

ผู้หญิงเสี่ยง 'ตกงาน' มากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานที่ AI มาทดแทนได้ง่ายกว่า ?!

วิจัยชี้ 79% ของผู้หญิงเสี่ยง "ตกงาน" มากกว่าผู้ชาย เนื่องจากเป็น "พนักงานออฟฟิศ" หรือทำงานที่ไม่ต้องใช้แรงงานหนัก (White collar) ซึ่งจะถูกแทนที่โดย AI ได้ง่ายกว่างานในกลุ่มภาคแรงงาน (Blue collar)

Key Points: 

  • นักวิจัยจาก Kenan-Flagler Business School มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ค้นพบว่า 79% ของผู้หญิง อยู่ในอาชีพที่เสี่ยง “ตกงาน” เนื่องจากโดน AI แย่งงานได้ง่ายกว่า เมื่อเทียบกับผู้ชาย
  • สัดส่วนแรงงานหญิงที่ทำงานออฟฟิศ หรือ “White Collar” มีจำนวนมาก (เกือบทั้งหมด) ขณะที่แรงงานชายมีสัดส่วนทำงานออฟฟิศ “White Collar” และ ทำงานภาคแรงงาน “Blue collar” ในสัดส่วน 50:50
  • อาชีพที่อาจโดน AI แย่งงานมากที่สุด ได้แก่ พนักงานเก็บเงิน, เสมียนบัญชีเงินเดือนและบันทึกเวลา, เลขานุการผู้บริหาร, พนักงานพิมพ์ดีด, พนักงานบัญชี ฯลฯ

เมื่อเร็วๆ นี้ มีผลวิจัยจาก Kenan-Flagler Business School แห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็นว่า ในอนาคตอันใกล้เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทในการทำงานของหลายอาชีพ ผู้หญิงที่ทำงานออฟฟิศเสี่ยงตกงานมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานด้านเอกสาร, ทำบัญชี, เรียกชำระเงิน ฯลฯ จะเป็นกลุ่มอาชีพแรกๆ ที่ตกงาน เนื่องจากบริษัทอาจหันไปใช้ AI มาทำแทน 

 

  • ผู้หญิงจะตกงานมากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานออฟฟิศ (White Collar) จริงหรือ? 

ทีมวิจัยคาดการณ์ว่า 79% ของผู้หญิงทำงาน หรือเกือบ 59 ล้านคน อยู่ในอาชีพที่อ่อนไหวต่อการ “ตกงาน” ในยุค AI เมื่อเทียบกับ 58% ของผู้ชายวัยทำงาน เนื่องจากในตลาดแรงงาน พบสัดส่วนแรงงานหญิงที่ทำงานออฟฟิศ หรือ “White Collar” มีจำนวนมาก (เกือบทั้งหมด) ขณะที่แรงงานชายมีสัดส่วนทำงานออฟฟิศ “White Collar” และทำงานภาคแรงงาน “Blue collar” ในสัดส่วน 50:50 

มาร์ค แมคนีลลี ศาสตราจารย์ด้านการตลาด ของ Kenan-Flagler Business School อธิบายเพิ่มเติมตามการวิจัยของ UNC Kenan-Flagler พบว่า อาชีพที่จะถูกแทนที่ด้วย AI มากที่สุด มักเป็นอาชีพที่จ้างงานผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เช่น ผู้ช่วยและผู้ประสานงานในสำนักงาน (Admin), ผู้สนับสนุนด้านการบริหาร, ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพและด้านเทคนิค, อาชีพด้านการศึกษา การฝึกอบรม และห้องสมุด, อาชีพด้านการดูแลสุขภาพ, อาชีพพนักงานต้อนรับ, อาชีพด้านการบริการชุมชนและสังคม เป็นต้น

ในทำนองเดียวกันก็มีข้อมูลจาก Revelio Labs ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแรงงาน ได้เปิดเผยว่า อาชีพที่น่าจะโดน AI แย่งงานมากที่สุด เป็นอาชีพที่มีผู้หญิงทำงานเป็นส่วนใหญ่คิดเป็น 71% ของพนักงานทั้งหมด ได้แก่ 

- พนักงานเก็บเงินและบัญชี (82.9%) 

- เสมียนบัญชีเงินเดือนและบันทึกเวลา (79.7%) 

- เลขานุการผู้บริหาร (74.3%) 

- โปรแกรมประมวลผลคำและพิมพ์ดีด (65.4%) 

- พนักงานทำบัญชี พนักงานบัญชี และตรวจสอบบัญชี (65%)

ผู้หญิงเสี่ยง \'ตกงาน\' มากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานที่ AI มาทดแทนได้ง่ายกว่า ?!

 

  • ผู้หญิงอาจตกงานเยอะในยุค AI ส่วนหนึ่งมาจากยุคหลังโควิดผู้หญิงเข้าสู่ในตลาดแรงงานมากขึ้น

Dana Peterson หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ Conference Board ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยธุรกิจชื่อดังในสหรัฐ ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า การที่ผลวิจัยชี้ว่าผู้หญิงจะตกงานมากกว่าผู้ชายนั้น ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์ในตลาดแรงงานปัจจุบันที่ผู้หญิงเข้าสู่ระบบงานออฟฟิศมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว เพราะหากมองในภาพรวม กลุ่มงานนั่งโต๊ะและงานบริการที่ไม่ได้แรงงานอย่างหนัก (White Collar) เป็นงานที่ตอบโจทย์ผู้หญิงมากขึ้นหลังยุคโควิด 

กล่าวคือ หลายๆ บริษัทเพิ่มความยืดหยุ่นให้พนักงานมากขึ้น เช่น ทำงานที่บ้านได้, เลี้ยงลูกในออฟฟิศได้, ประชุมงานผ่านออนไลน์ได้ (แม่หลายคนต้องการสิ่งนี้เพราะช่วยให้เลี้ยงลูกได้สะดวกขึ้น ทำให้ไม่ต้องลาออกจากงานประจำ) รวมไปถึง การเร่งตัวของ “คนทำงานรุ่น Baby Boomers” ที่เกษียณอายุและออกจากงานมากขึ้น ทำให้บริษัทขาดแคลนแรงงาน จึงต้องประกาศรับสมัครพนักงานใหม่เพิ่มมากขึ้น 

ประกอบกับภาคธุรกิจใช้เวลายาวนานในการฟื้นตัวจากโควิด, ความกังวลด้านสุขภาพของผู้คนยุคหลังโควิด, งานบางอย่างเสนอค่าจ้างสูงขึ้นในยุคหลังโควิด (โดยเฉพาะงานบางอย่างที่เคยได้ค่าแรงต่ำมาก่อน) สถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้น และนั่นก็สนับสนุนผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น โดยเฉพาะสายอาชีพการดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว และการต้อนรับ พบว่าเป็นกลุ่มอาชีพที่มีผู้หญิงเข้ามาทำงานเพิ่มมากขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

ขณะที่สำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (BLS) ก็ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันว่า เมื่อเดือน พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา อัตราการมีส่วนร่วมของแรงงานผู้หญิง ที่มีอายุระหว่าง 25 - 54 ปี ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 77.6% เพิ่มขึ้นจากสถิติเดิมที่ 77.5% เทียบกับช่วงหลายเดือนก่อนหน้านั้น 

ผู้หญิงเสี่ยง \'ตกงาน\' มากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานที่ AI มาทดแทนได้ง่ายกว่า ?!

 

  • AI ไม่สามารถแย่งงานผู้หญิงกลุ่ม White Collar ได้ 100% (ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจ)

อย่างไรก็ตาม Dana Peterson มองว่ากรณีที่งานวิจัยข้างต้นชี้ว่า ผู้หญิงที่ทำงานออฟฟิศ (White Collar) กำลังตกงานในยุค AI อาจจะไม่เป็นจริงไปตามการคาดการณ์ 100% เพราะอย่าลืมว่า AI เป็นตัวแทนของทั้ง “ภัยคุกคาม” และ “โอกาสใหม่ๆ” ในเวลาเดียวกัน และมันขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจ แต่ละอุตสาหกรรมจริงๆ ไม่สามารถเหมารวมได้ทั้งหมด

มีข้อมูลจากหลายแหล่งพิสูจน์ได้ว่า AI เป็นภัยคุกคามและอันตรายต่อบางอาชีพที่ปล่อยให้มันทำงานแบบ “อัตโนมัติ” มากเกินไป ดังนั้น อาจพูดได้ว่า AI คือตัวช่วยที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะข้อมูลที่เราได้จากมัน เป็นการสร้างเนื้อหาใหม่จากเนื้อหาที่มีอยู่เดิม แต่อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ อาชีพ ทุกๆ การทำงาน ก็ยังต้องการมนุษย์เพื่อสร้างข้อมูลที่สดใหม่ หรือสร้างงานใหม่ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมหลักการและความสมเหตุสมผลจากมนุษย์ 

“เมื่อเวลาผ่านไป AI จะมาแทนที่งานบางอย่าง มันอาจทำลายงานในระยะสั้น แต่มันก็สร้างงานใหม่และโอกาสที่แตกต่างออกไปด้วย ช่วยให้ผู้คนมีประสิทธิผลมากขึ้นในงานที่มีอยู่” Dana Peterson กล่าว

ผู้หญิงเสี่ยง \'ตกงาน\' มากกว่าผู้ชาย เพราะทำงานที่ AI มาทดแทนได้ง่ายกว่า ?!

ทั้งนี้ มีตัวอย่างอาชีพประเภท White Collar บางอาชีพที่แม้จะเป็นงานนั่งออฟฟิศ แต่ AI ก็มาทดแทนไม่ได้ แต่อาจนำมันเข้ามาช่วยงานบางอย่างได้ เช่น 

อาชีพบรรณารักษ์ พิพิธภัณฑ์ และบริการห้องสมุด :
AI อย่าง ChatGPT มักรวบรวมข้อมูลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ (Reddit, Wikipedia) มานำเสนอให้ผู้ใช้งาน ซึ่งแตกต่างกับข้อมูลที่ได้จากงานบรรณารักษ์ (ห้องสมุด,หอจดหมายเหตุ) ที่มีความแม่นยำและมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า ในทางกลับกัน AI สามารถเข้ามาช่วยจัดการงานที่ซ้ำซากจำเจของอาชีพบรรณารักษ์ได้ เช่น การจัดหมวดหมู่หนังสือ, จัดเรียงข้อมูลให้เป็นระบบ

อาชีพนักเขียนและนักพากษ์เสียง :
AI เริ่มพัฒนาความสามารถสู่การเขียนบทความเบื้องต้นและการลอกเลียนเสียงได้ แต่นักเขียนมองว่าบทความเหล่านั้นขาดความน่าเชื่อถือ AI ไม่สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการคิดเชิงวิพากษ์ได้ แต่มันช่วยจดบันทึกข้อมูลและถอดความได้ ส่วนการลอกเลียนเสียง อาจถือเป็นภัยคุกคาม แต่นักพากษ์ก็สามารถควบคุมได้โดย ตั้งข้อกำหนด/ทำสัญญาการทำงานด้านเสียงพากษ์ต้นฉบับ ไม่ให้ถูกนำไปใช้ในการฝึก AI เป็นต้น 

----------------------------------------------------

อ้างอิง : CNN Business1, CNN Bussiness2, Techsauce