'กองทุนประกันสังคม' วาง 3 แนวทาง เพิ่มประสิทธิผลบริหารลงทุน

 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน  เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการลงทุนของกองทุนประกันสังคม จำนวน 3 คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการบริหารการลงทุน คณะอนุกรรมการบริหารความเสี่ยงด้านการลงทุน และคณะอนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาด  พร้อมด้วยผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม เข้าร่วมประชุม จำนวน 80 คน เข้าร่วมประชุมหารือ 
นายพิพัฒน์ ได้ให้ข้อเสนอแนะ และแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการลงทุน เพื่อเพิ่มประสิทธิผลการบริหารการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ในประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1.ผลักดันให้รัฐบาลเพิ่มอัตราเงินสมทบ จาก 2.75% ในปัจจุบัน เป็น 5 %ให้เท่ากันกับอัตราเงินสบทบจากผู้ประกันตนและนายจ้าง เพื่อให้สำนักงานประกันสังคมมีเม็ดเงินไปลงทุนเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน

 ตลอดจนปรับเพิ่มอัตราเงินสมทบของทั้ง 3 ฝ่าย ให้เทียบเท่ากับประเทศชั้นนำของโลก เช่น ประเทศสวีเดนและประเทศเอสโตเนีย รวมถึงการเพิ่มเพดานค่าจ้างในการคำนวณเงินสมทบ จนทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถคุ้มครองและจ่ายสิทธิประโยชน์ให้แก่คนทำงานได้อย่างยั่งยืน
2.เพิ่มอายุเกษียณสำหรับบางสาขาอาชีพที่คนสามารถทำงานได้แม้จะมีอายุมากกว่า 55 ปี ซึ่งเป็นอายุเกษียณในปัจจุบัน กำหนดเป็นทางเลือกแบบสมัครใจเพื่อให้ผู้ประกันตนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ยาวนานขึ้น
3. ปรับสัดส่วนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม โดยเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง สินทรัพย์ในต่างประเทศ และสินทรัพย์ทางเลือก โดยเฉพาะการลงทุนในกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่หลากหลาย ซึ่งมีต้นทุนต่ำ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนและกระจายความเสี่ยงในการลงทุนของกองทุนประกันสังคม

"การลงทุนของสำนักงานประกันสังคมจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานสากลและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนได้ บุคลากรควรได้รับการพัฒนาและมีแรงจูงใจในการสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนได้อย่างแน่นอน" นายพิพัฒน์กล่าว

ในการประชุมหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารการลงทุนของกองทุนประกันสังคม ทั้ง 3 คณะในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางในการบริหารกองทุน และสร้างผลตอบแทนสะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น เพิ่มความมั่นคงให้แก่กองทุนประกันสังคม สามารถรองรับค่าใช้จ่ายในการดูแล และพัฒนาสิทธิประโยชน์กลับคืนสู่ผู้ประกันตนทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไปอย่างยั่งยืน