เริ่มแล้ว 7 จังหวัด! บัตรประชาชนใบเดียว 30 บาท รักษาทุกโรค ได้ทุกที่
“บัตรประชาชนใบเดียว รักษาฟรีทุกที่” เป็นหนึ่งการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค นโยบายหลักด้านสาธารณสุขของรัฐบาลใหม่ และนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข ซึ่งโมเดลนี้เกิดขึ้นจริงแล้วที่เขตสุขภาพที่ 8 ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้ทุกโรค ทุกที่มาแล้วร่วม 2 ปี
เขตสุขภาพที่ 8 ประกอบด้วย 7 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร นครพนม เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และบึงกาฬ สำหรับประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวที่มีสิทธิรักษาพยาบาล หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือ บัตรทอง สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่ตั้งอยู่ใน 7 จังหวัดได้ทุกแห่งและทุกโรค ไม่เฉพาะรพ.ตามสิทธิที่ระบุไว้เท่านั้น
รักษาทุกโรคได้ทุกที่ 88 โรงพยาบาล
นพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 8 กล่าวว่า R8 Anywhere ดำเนินการในพื้นที่เขตสุขภาพที่ 8 มาแล้วราว 2 ปี ซึ่งประชาชนที่มีสิทธิ 30 บาทสามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียว เข้ารับการรักษาได้ทุกโรคในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.)ใน 7 จังหวัด 88 แห่งตั้งแต่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) โรงพยาบาลชุมชน(รพช.) โรงพยาบาลทั่วไป(รพท.) และโรงพยาบาลศูนย์(รพศ.)
เนื่องจาก รพ.ทุกแห่งได้นำข้อมูลของผู้ป่วยอัปโหลดไว้ในระบบคลาวด์ (Cloud) ข้อมูลจึงเชื่อมกันทั้งหมด จะทำให้ผู้ที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงข้อมูลได้เหมือนกันทั้ง 88 แห่ง อนาคตก็จะพัฒนาเชื่อมข้อมูลกับสถานพยาบาลสังกัด สธ.ที่อยู่ในกรมอื่นด้วย เช่น ศูนย์มะเร็ง หรือรพ.จิตเวช เป็นต้น
เมื่อคนไข้ไปรับบริการที่ รพ.ใดแพทย์ก็สามารถเรียกดูข้อมูลและประวัติการรักษาของคนไข้ใน รพ.อื่นได้ โดยที่จะต้องได้รับความยินยอมก่อนทุกครั้ง ยกเว้นกรณีฉุกเฉิน และแต่ละครั้งจะมีการระบุว่าแพทย์คนใดเข้าดูข้อมูล ในเวลาใด รวมถึง คนไข้สามารถเลือกได้ว่าจะอนุญาตให้แพทย์ท่านใดเข้าดูข้อมูลเพื่อการรักษาตนเองได้
คืนข้อมูลรักษาให้คนไข้
“บัตรประชาชนใบเดียว รักษาทุกที่ ที่เป็นนโยบาย รมว.สาธารณสุข ที่ต้องการขยายทั่วไปนั้น เขต 8 ทำทั้งเขตอยู่แล้ว คนไข้ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่นที่เป็นโรงพยาบาลนอกสิทธิ ไม่ต้องมีใบส่งตัว และไม่เรียกเก็บเงินจากคนไข้ เรียกว่าระบบ 2 ม. หรือ 2 ไม่ จากช่วงแรกเริ่มจากมะเร็ง ขยับมาเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน และตอนนี้ใช้กับทุกโรค เพราะบางครั้งคนไข้ไปทำงานอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลที่ระบุไว้ตามสิทธิ ซึ่งสิทธิ 30 บาทก็ควรจะเหมือนสิทธิข้าราชการที่ไปรักษาที่ไหนก็ได้ทั่วไทย เพียงแต่สิทธิข้าราชการข้อมูลยังไม่มีการเชื่อมกัน”นพ.ปราโมทย์ กล่าว
นอกจากนี้ กำลังอยู่ระหว่างการนำระบบไอทีมาใช้ ด้วยการพัฒนาระบบยืนยันตัวตนของคนไข้เหมือนกับธนาคาร เพื่อจะได้นำข้อมูลการรักษาพยาบาลของแต่ละคนที่เข้ารับบริการในโรงพยาบาลแต่ละแห่ง ส่งกลับมายังตัวคนไข้ทำให้รับทราบได้ว่าตนเองเคยเข้ารับบริการรักษาที่ไหน ได้รับยาอะไร เป็นการคืนข้อมูลกลับให้กับคนไข้
พัฒนา Moph Claim
“สมมติคนไข้มารักษาที่โรงพยาบาลหนองคาย แพทย์ก็สามารถดูข้อมูลที่คนไข้เคยรักษาที่โรงพยาบาลโพนพิสัยได้ ทำให้ไม่ต้องมาใช้เวลาในการตรวจซ้ำซ้อนอีกในบางรายการ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปด้วยคือ การพัฒนาเพิ่มศักยภาพของโรงพยาบาลในทุกระดับตั้งแต่ รพ.สต. รพช. รพท. รพศ.ให้มากขึ้นด้วยเพื่อรองรับการให้บริการ”นพ.ปราโมทย์ กล่าว
ตั้งแต่ดำเนินการ นพ.ปราโมทย์ กล่าวว่า อาจจะมีปัญหาบ้างในเรื่องระบบเคลม หรือเบิกงบประมาณ เมื่อมีการส่งเบิกกรณีคนไข้รักษาในโรงพยาบาลนอกสิทธิกับ สปสช.หากส่งไป 100 อาจจะได้ราว 60-70 % บางส่วนไม่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของระบบข้อมูลที่ส่งเบิกแล้วไม่ได้ทั้งหมด อาจเกิดขึ้นจากการระบุข้อมูลไม่ครบถ้วน ขณะนี้ สธ.กำลังพัฒนาระบบที่เรียกว่า Moph Claim NSHO เพื่อให้โรงพยาบาลส่งข้อมูลเข้าระบบนี้มาที่สธ.เพื่อทำการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลให้ก่อนส่งเคลม โดยเงินที่เบิกได้ สปสช.ก็จะส่งไปยังโรงพยาบาลโดยตรง
ระบบเบิกจ่ายรักษานอกสิทธิ
ขณะที่ ทพ.กวี วีระเศรษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เขต 8 กล่าวว่า R8 Anywhere เริ่มจากที่ผู้ตรวจฯ มอบหมายให้โรงพยาบาลทุกแห่งในเขตนำข้อมูลที่รักษาคนไข้อัปโหลดขึ้นสู่ระบบคลาวด์ทั้งหมด และสปสช.ไปพิจารณาเรื่องการเบิกจ่ายเงินกรณีที่คนไข้ไปรักษาในโรงพยาบาลนอกสิทธิ ส่งผลให้ไม่ว่าคนไข้ไปรักษาที่ไหน แพทย์ก็จะรู้ประวัติการรักษาทั้งหมดของคนไข้ และดึงข้อมูลจากคลาวด์ได้
ซึ่งระบบคลาวด์นี้หน่วยงานรัฐสามารถใช้ได้ฟรี ตามความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยมีคนดูแลระบบ ขณะเดียวกันโรงพยาบาลที่คนไข้ไปรักษาก็สามารถเบิกค่ารักษาได้จากสปสช. เพราะฉะนั้น โมเดลที่เขต 8 ดำเนินการนี้สามารถขยายใช้งานได้ทั่วประเทศ
กรณีที่คนไข้เข้ารับการรักษานอกสิทธิโรงพยาบาลแบบใช้บัตรประชาชนใบเดียว สปสช.จะเป็นผู้จ่ายเงินตรงให้กับโรงพยาบาลไม่ใช่โรงพยาบาลต้นสังกัดตามไปจ่าย ซึ่งสปสช.จะจ่ายเงินกรณีนี้ให้โรงพยาบาลเป็นแบบ Per Visit เป็นรายการที่เข้ารับการรักษา ถ้าเป็นผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลจะเป็นแบบ DRG โดยเมื่อโรงพยาบาลบันทึกข้อมูลเข้าระบบ
สปสช.ก็จะมาดึงข้อมูลส่วนนี้ผ่าน E-claim Service ทำให้โรงพยาบาลไม่ต้องส่งข้อมูลเอง จะช่วยลดภาระการทำงานได้ เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลแล้ว ก็จะจ่ายเงินให้กับโรงพยาบาล ซึ่งจะมีการจัดสรรงบประมาณแต่ละปีไว้รองรับที่ สปสช. เรียกว่า OP Anywhere ก่อนหน้านี้ราว 300 ล้านบาท บางก้อนจะไว้ที่ส่วนกลางและบางก้อนจัดสรรไว้ที่เขต ซึ่งเขต 8 มีการดึงมาใช้ราว 70-80 ล้านบาท
คนไข้ไม่เลือกไปเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่
“จากที่เขตสุขภาพที่ 8 ดำเนินการมา เจอกรณีที่คนไข้เลือกไปรับบริการเฉพาะที่โรงพยาบาลใหญ่อยู่บ้าง แต่น้อยมาก เพราะ สธ.มีการพัฒนาโรงพยาบาลดีจนคนไข้รับรู้ได้ว่าทำไมต้องไปโรงพยาบาลนั้น ในเมื่อโรงพยาบาลใกล้บ้านก็สามารถรักษาได้ คนไข้ไม่ได้อยากไปรอคิวนานที่โรงพยาบาลใหญ่หากไม่จำเป็น จะเลือกไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลไม่ใหญ่ที่รอคิวไม่นาน หากมีแพทย์รักษาได้เหมือนกัน”ทพ.กวี กล่าว
ท้ายที่สุด ทพ.กวี ย้ำว่า ปัจจุบันผู้ใช้สิทธิ 30 บาทในเขตสุขภาพที่ 8 สามารถใช้บัตรประชาชนใบเดียวเข้ารับการรักษาได้ทุกโรคในโรงพยาบาลภายในเขตสังกัดสป.สธ.ทั้ง 88 แห่ง โดยผู้ป่วยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ไม่ต้องจ่ายเงินเอง แต่โรงพยาบาลจะให้บริการแล้วไปเบิกจ่ายจาก สปสช. ทั้งนี้ หากยังได้รับการแจ้งจากเจ้าหน้าที่ให้ไปนำใบส่งตัว สามารถติดต่อศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพในโรงพยาบาลแต่ละแห่งได้ หรือแจ้งที่ สปสช.เขต หรือโทรสายด่วนสปสช. 1330
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์