มติ“กัญชากัญชง”คืนเป็นยาเสพติด ชงบอร์ดปปส.ด่านสุดท้าย ก่อนใช้ 1 ม.ค.68

มติ“กัญชากัญชง”คืนเป็นยาเสพติด ชงบอร์ดปปส.ด่านสุดท้าย ก่อนใช้ 1 ม.ค.68

คกก.ควบคุมยาเสพติดให้โทษเสียงส่วนใหญ่ มีมติ “กัญชากัญชง”คืนเป็นยาเสพติด ชงต่อบอร์ดปปส.สัปดาห์หน้า หากผ่านส่งให้รมว.สธ.ลงนาม มีผล 1 ม.ค.68 

เมื่อวันที่ 5ก.ค.2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข  นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการฯซึ่งมีประเด็นพิจารณาเรื่อง  (ร่าง)ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. ... ว่า จากที่ได้มีการรับฟังความคิดเห็นมากส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย 80 % ที่จะให้กัญชากัญชงคืนเป็นยาเสพติดประเภท 5 ยกเว้น กิ่งก้าน ราก ใบ เมล็ด สารสกัดที่มีTHC ไม่เกิน 0.2 %  

 แต่ก็มีข้อสังเกตในหลายเรื่อง เช่น  เสนอควรจะจำกัดส่วนที่ยกเว้นจากยาเสพติดเฉพาะผลิตในประเทศเท่านั้น หรือกรณีเมล็ดที่ไม่ได้กำหนดเป็นยาเสพติดเพราะสามารถนำไปทำน้ำมันได้ แต่การจะปลูกต้องขออนุญาต และเป็นข้อเสนอความเห็นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(บอร์ดปปส.)พิจารณาต่อไป แต่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษก็จะเสนอร่างประกาศที่รับฟังความเห็นให้กับบอร์ดปปส.พิจารณา คาดว่าน่าจะส่งบอร์ดปปส.ในสัปดาห์หน้า

ผู้สื่อข่าวถามว่า มติที่ประชุมไม่ได้เป็นเอกฉันท์ นพ.สุรโชค กล่าวว่า  ทุกคนเห็นตรงกันที่จะใช้ประโยชน์กัญชากัญชงเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ เพื่อผู้ป่วย ในส่วนที่เห็นไม่ตรง 2-3 ท่านนั้น เกรงว่าหากมีการควบคุมเข้มเกินไปทำให้ประชาชนเดือดร้อนได้ ควรมีการควบคุมโดยพรบ.
ถามต่อว่าเท่ากับการดำเนินการเรื่องพรบ.กัญชากัญชงก่อนหน้านี้ล้มไปโดยปริยาย นพ.สุรโชค กล่าวว่า  ไม่ หากจะต้องเป็นพรบ.ก็เป็นขั้นตอนของนิติบัญญัติ ส่วนที่คณะกรรมควบคุมยาเสพติดให้โทษดำเนินการก็ตามกฎหมายที่มีอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (ร่าง)ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. ... ได้มีการรับฟังความเห็นเมื่อวันที่ 11-25 มิถุนายน 2567 ซึ่งเป็นการกำหนดให้กัญชากัญชง ในส่วนของช่อดอกและสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2 %เป็นยาเสพติด  หลังผ่านคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษเห็นชอบแล้ว ส่งเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(บอร์ดปปส.) หากเห็นชอบก็จะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.)จะต้องออกกฎหมายกำหนดเงื่อนไขต่างๆตามมาต่อไป