เครือข่ายแพทย์ฯชงทางออก "กัญชา" แบบยุติขัดแย้งพรรคร่วม-หยุดสันทนาการ

เครือข่ายแพทย์ฯชงทางออก "กัญชา"  แบบยุติขัดแย้งพรรคร่วม-หยุดสันทนาการ

เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการฯจี้นายกฯนำ “กัญชากลับเป็นยาเสพติด” แล้วทำกฎหมายกัญชาโดยเร็ว  ยก 5 เหตุผล หยุดกัญชาเพื่อสันทนาการ-ยุติขัดแย้งพรรคร่วม

เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2567 เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ซึ่งมีแพทย์และประชาชนร่วมลงชื่อ 59 คน ได้ออกบทวิเคราะห์การดำเนินนโยบายกัญชาของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม2567 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุขแก้ไขประกาศกระทรวง โดยดึงกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดประเภท 5 และเร่งออกกฎกระทรวงอนุญาตให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยต้องทำเพื่อประชาชน 

ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายให้ออกเป็น พ.ร.บ.กัญชา กัญชง เพื่อยุติความขัดแย้งพรรคร่วมรัฐบาล โดยไม่นำกลับไปขึ้นบัญชียาเสพติดแล้ว

นโยบายครั้งแรก (เดือน พฤษภาคม) คือ การนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทันที เพื่อให้ใช้กัญชาเฉพาะประโยชน์ในทางการแพทย์ แต่ไม่ให้ใช้กัญชาเพื่อสันทนาการ โดยไม่ได้มีนโยบายให้ทำกฎหมายกัญชา  

นโยบายครั้งที่สอง (เดือนกรกฎาคม) คือ การคงให้สามารถใช้กัญชาเพื่อสันทนาการได้ (เนื่องจากกัญชาไม่เป็นยาเสพติด) ในขณะที่รอทำกฎหมายกัญชา   นโยบายสองครั้งนี้จึงมีลักษณะตรงกันข้ามทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากนโยบายแรกนั้น พรรคเพื่อไทยทำเพื่อประชาชนส่วนใหญ่ที่เห็นว่าควรนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด แต่ขัดกับนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่มีนโยบายปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด   ส่วนนโยบายครั้งที่สองจะสอดคล้องกับความต้องการของพรรคภูมิใจไทย แต่ขัดกับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ขอเสนอนโยบายใหม่ เป็นนโยบายทางสายกลาง คือ “เริ่มทำกฎหมายกัญชาโดยเร็วทันที หลังนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดติด”  พร้อมเหตุผล ดังนี้

1.เพื่อหยุดยั้ง “กัญชาเพื่อสันทนาการ” ทันที แต่สามารถใช้ “กัญชาเพื่อการแพทย์” ได้ ขณะกำลังเร่งทำกฎหมายกัญชา

2.เพื่อการลดความขัดแย้งอย่างแท้จริง คือ ไม่ขัดแย้งกับพรรคภูมิใจไทยเพราะมีนโยบายให้ทำกฎหมายกัญชา และไม่ขัดแย้งกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ เพราะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดทันที 

3.เพื่อไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ว่าผู้บริหารสูงสุดของประเทศมอบนโยบายกัญชาที่มีลักษณะตรงกันข้ามภายในเวลาเพียงสองเดือน

4.เพื่อไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ว่านายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยเลือกที่จะไม่ขัดแย้งกับพรรคภูมิใจไทย โดยเลือกนโยบายที่จะขัดแย้งกับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศแทน

5.เพื่อไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ว่านายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทยผูกติดกับผลกระทบด้านลบของการปลดกัญชาจากการเป็นยาเสพติด ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดในสังคมแล้วในขณะนี้และจะมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต เช่นเดียวกันกับภาพลักษณ์ของพรรคการเมืองอื่นก่อนหน้านี้

เครือข่ายแพทย์ นักวิชาการ และภาคประชาชนต้านภัยยาเสพติด ขอเสนอให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเห็นสังคมและเยาวชนเข้าไปเกี่ยวข้องกับกัญชาเพื่อสันทนาการในประเทศไทย ร่วมติดตาม รู้เท่าทัน และเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีกำหนดนโยบายกัญชาที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม มากกว่าประโยชน์ของพรรคร่วมรัฐบาล   และทำทุกวิถีทางทั้งในปัจจุบันและอนาคตที่จะไม่ให้เกิดสภาพการตัดสินใจนโยบายกัญชาในลักษณะเช่นนี้