พ่นควัน "บุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า"ใส่เด็ก เข้าข่ายทารุณกรรมเด็ก
กรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ ชี้การพ่นควันบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้า จนเด็กสูดควันหรือไอเข้าไปอาจเป็นการใช้ความรุนแรง เด็กได้รับควันบุหรี่มือสองมีความผิด ถือเป็นการกระทำทารุณกรรมต่อเด็ก
จากกรณีที่พ่อแม่มีการให้ลูกของตนใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยมีความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีอันตราย และไม่ผิดกฎหมายนั้น ถือเป็นความเข้าใจผิดของพ่อแม่ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย จึงจัดแถลงข่าว “บทบาทครอบครัวในการปกป้องสิทธิเด็กจากภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า”
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้แทนราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยและ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินซึ่งเป็นสารเสพติด ทำให้สมองมีการหลั่งสารโดปามีน ทำให้เกิดความสุขผ่อนคลายในระยะแรก แต่ผลเสียของนิโคตินทำให้หลอดเลือดหดตัว เกิดการอักเสบและมีอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพกับเด็กที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าและอาจทำให้เกิดโรคปอดอักเสบรุนแรงจากบุหรี่ไฟฟ้า (EVALI) เช่นเดียวกับผู้ใหญ่
อันตรายบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็ก
แตกต่างกันที่ในเด็กจะมีผลกระทบต่อสมองที่กำลังพัฒนาของเด็กตั้งแต่ในครรภ์จนถึงอายุ 25 ปี ซึ่งส่งผลต่อสมองส่วนหน้าที่ควบคุมความสามารถในการรับรู้ การคิดวิเคราะห์ ความจำ สมาธิ และอารมณ์ ที่สำคัญบุหรี่ไฟฟ้าเป็นประตูเปลี่ยนผ่านไปใช้บุหรี่มวนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่าเมื่ออายุมากขึ้น รวมถึงการใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน และอาจนำไปสู่การใช้ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายได้ในอนาคต
“ไอบุหรี่ไฟฟ้ามือสองนั้น ทางสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ผู้อยู่ใกล้ผู้สูบมีความเสี่ยงต่ออาการหลอดลมอักเสบและหายใจที่ถี่เพิ่มขึ้น ไอบุหรี่ไฟฟ้ามีโลหะหนักและอนุภาคขนาดเล็กกว่า PM 2.5 ที่สามารถเข้าไปถึงปอดได้ลึกซึ่งอาจทำให้การทำงานของหัวใจและปอดแย่ลง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ จึงควรหลีกเลี่ยงไม่ไห้เด็กใช้หรือถูกไอบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อสุขภาพของตัวเด็กเอง” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
เด็กได้รับควันบุหรี่มือสอง กระทำทารุณกรรมต่อเด็ก
นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ กล่าวว่า บทบัญญัติกฎหมายที่ใช้คุ้มครองเด็กจากพิษภัยของบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้ามีอยู่หลากหลาย ในพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มีอย่างน้อย 2 มาตราในมาตรา 26 ก็มี 2-3 อนุมาตรา และมาตรา 45 ในกรณีที่เด็กสูบบุหรี่จะต้องมีกระบวนการในการปรับแก้ไขพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของเด็ก เฉพาะพ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก มีประเด็น คือ
1. มาตรา 26 อนุ 10 ห้ามจำหน่ายแลกเปลี่ยนหรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก
2. กรณีใช้เด็กไปซื้อบุหรี่อาจขัดต่อข้อห้ามตามมาตรา 26 อนุ 6 ใช้จ้างหรือวานให้เด็กทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตหรือขัดขวางต่อพัฒนาการของเด็ก
3. สูบบุหรี่ทำให้เด็กได้รับควันบุหรี่มือสองมีความผิดตามมาตรา 26 วงเล็บ 1 เพราะถือเป็นการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กดังที่บัญญัติในมาตรา 4
“การพ่นควันบุหรี่หรือบุหรี่ไฟฟ้าจนเด็กสูดควันหรือไอเข้าไปอาจเป็นการใช้ความรุนแรงต่อเด็กซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว ตามพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรง 2550 มาตรา 4 วรรค 1 แม้ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้จะระบุถึงการกระทำโดยเจตนาไม่รวมการกระทำโดยประมาท การตีความเกี่ยวกับควันบุหรี่ไม่ว่าจะมาจากบุหรี่มวนหรือไอของบุหรี่ไฟฟ้ามีผลเช่นเดียวกันคือก่ออันตรายให้แก่เด็ก จึงไม่อาจตีความว่ากฎหมายห้ามเฉพาะบุหรี่มวน ในกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองเด็กไม่ได้ระบุถึงรูปแบบของการกระทำแต่เน้นเนื้อหาของการกระทำคือความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเด็กจากการกระทำของผู้หนึ่งผู้ใด”นายสรรพสิทธิ์กล่าว
ครอบครัวต้องคุ้มครองเด็กจากบุหรี่ไฟฟ้า
พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้พยายามดึงเด็กออกจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษเป็นภัยจากการสูบบุหรี่ของเด็กซึ่งระบุอยู่ในมาตรา 45 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่า เด็กสูบบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นบุหรี่มวนหรือบุหรี่ไฟฟ้า ก็จำเป็นต้องนำตัวเด็กมามอบให้ผู้ปกครอง และร่วมกับผู้ปกครองในการแก้ไขปัญหานี้ โดยอาจจะกำหนดแผนบำบัดฟื้นฟูแก่เด็กได้ด้วย
“การที่ยังไม่ห้ามบุหรี่มวนเด็ดขาดเหมือนบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้เป็นเพราะคนสูบบุหรี่มวนมีจำนวนมากไม่สามารถยุติได้ทันทีจึงต้องใช้วิธีค่อยๆจำกัดการสูบให้ลดลงเรื่อยๆจนกว่าจะอยู่ในระดับที่สามารถออกกฎหมายห้ามได้ ในขณะที่บุหรี่ไฟฟ้ายังไม่มีการสูบในจำนวนมากเท่ากับบุหรี่มวนจึงง่ายกว่าที่จะห้ามเด็ดขาด การไม่ห้ามเด็ดขาด แล้วใช้วิธีการจำกัดวงไม่ให้มีการสูบหรือมีการซื้อขายหรือนำเข้า”นายสรรพสิทธิ์กล่าว
มาตรการในการปกป้องเด็กให้พ้นจากพิษภัยของบุหรี่ ในกรณีที่จำกัดการสูบการซื้อขายการผลิตอะไรก็ตาม ไม่สามารถทำโดยมาตรการทางกฎหมายตามลำพัง จำเป็นต้องให้สังคมแวดล้อมเด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่ครอบครัวชุมชนและสถานศึกษามีส่วนร่วมในการเข้ามาคุ้มครองดูแลไม่ให้เด็กต้องรับพิษภัยจากบุหรี่ไม่ว่าจะเป็นการสูบของผู้อื่นหรือเป็นการสูบของเด็กเอง
เร่งสร้างความตระหนักอันตรายบุหรี่ไฟฟ้าให้ครอบครัว
ด้านนางสาวราภรณ์ พงศ์พนิตานนท์ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านครอบครัว กรมกิจการสตรีและครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวว่า กรณีบุหรี่ไฟฟ้าที่มีการใช้ในครอบครัว เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายทั้ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และอาจเข้าข่ายกระทำความรุนแรงในครอบครัวตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ 2550
กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กำลังเร่งดำเนินการประสานงานทั้งหน่วยงานภายในและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันสร้างการรับรู้และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ครอบครัว เพื่อป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชน ด้วยหวังว่าสังคมจะมีความเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบของบุหรี่ไฟฟ้า และร่วมมือกันสร้างสังคมที่มีสุขภาพดีและปลอดภัยสำหรับทุกคน
ศ.พญ.สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์ รองผู้อำนวย ศจย. กล่าวว่า ครอบครัวต้องเข้าใจบทบาทของ พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 และต้องปกป้องสิทธิเด็กจากภยันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายและบังคับใช้กฎหมายห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเด็ดขาด
เนื่องจากผลิตภัณฑ์นี้ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสถาบันครอบครัว ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคม เราต้องปกป้องเด็กและสมาชิกในครอบครัวจากอันตรายของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลยุทธ์การตลาดของธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้าที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชน ในภาวะที่เด็กเกิดน้อยลง ยิ่งต้องช่วยกันปกป้องให้สมองของอนาคตของชาติไม่ถูกทำลายไปด้วย