ไทยยกระดับเฝ้าระวัง "ฝีดาษลิง" WHOประกาศ "ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข"
ไทยยกระดับด่านควบคุมโรคฯ เฝ้าระวัง mpoxโรคฝีดาษวานร หลัง WHO ประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ย้ำกลับจากประเทศเสี่ยง มีอาการรีบพบแพทย์-แจ้งประวัติเดินทาง ขณะที่คกก.โรคติดต่อแห่งชาติ เห็นชอบ เพิ่ม 2 ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศแห่งใหม่
จากกรณีที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ประกาศให้โรคฝีดาษวานร หรือฝีดาษลิง หรือ mpox เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขระหว่างประเทศ หลังจากจำนวนผู้ป่วยเพิ่มอย่างต่อเนื่องในประเทศดีอาร์คองโก และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งแอฟริกา ประกาศ ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขต่อความมั่นคงของทวีป จากการระบาดของโรคนี้ในแอฟริกากลางไปก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเป็นประธานประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า ที่ประชุมได้รับทราบสถานการณ์โรคติดต่อที่สำคัญ โดยโรคฝีดาษวานร(mpox)หรือฝีดาษลิง สำหรับประเทศไทยพบผู้ป่วยยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 ถึง 11 ส.ค.2567 จำนวน 827 ราย ทุกรายเป็นสายพันธุ์ Clade 2 ซึ่งเป็นคนละสายพันธุ์กับที่ระบาดในแอฟริกา
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นคนไทย 742 คน ชาวต่างชาติ 81 คน ไม่ระบุ 4 คน เฉพาะช่วงปี 2567 ตั้งแต่ 1 ม.ค.– 3 ส.ค. พบผู้ป่วยยืนยัน 140 คน ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และตรวจยืนยันสายพันธุ์ในผู้ป่วยทุกราย
ตั้ง 2 ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
ที่ประชุมยังมีการเห็นชอบ ได้แก่ 1.เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ซึ่งให้เพิ่มด่านสามเหลี่ยมทองคำ จังหวัดเชียงราย เป็นด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ลำดับที่ 70 และ ด่านระนอง (ท่าเทียบเรือสะพานปลา) จังหวัดระนอง ลำดับที่ 71 ตามที่คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ได้เห็นชอบและเสนอต่อคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ
2. ร่างระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนในการดำเนินการ เฝ้าระวัง การสอบสวนโรค การป้องกัน หรือการควบคุมโรคติดต่อ จำนวน 2 ฉบับ ได้แก่ ระเบียบค่าตอบแทนสำหรับโรคติดต่ออันตราย และ ระเบียบค่าตอบแทนสำหรับโรคระบาด ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 โดยให้มีคณะกรรมการพิจารณาการเบิกจ่ายค่าตอบแทน ให้กับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อซึ่งปฏิบัติงานใน 4 สถานที่ ได้แก่ ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ, พื้นที่ที่มีผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย, ห้องปฏิบัติการ และ สถานพยาบาล
เบิกจ่ายค่าชดเชย 4 กรณี
3. ร่างระเบียบกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าชดเชยในการดำเนินการเฝ้าระวังการสอบสวนโรค การป้องกัน หรือการควบคุมโรคติดต่ออันตรายหรือโรคระบาด ผู้ที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย โดยให้เจ้าหน้าที่ที่มีสิทธิได้รัฐค่าชดเชยหรือทายาทของเจ้าหน้าที่ผู้นั้นยื่นคำขอรับค่าชดเชยต่อหัวหน้าหน่วยงานใน 4 กรณี ดังนี้
- กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร หรือเจ็บป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาตลอดชีวิต และมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการดำรงชีวิต
- กรณีสูญเสียอวัยวะหรือพิการที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต
- กรณีติดเชื้อหรือกรณีบาดเจ็บจนได้รับอันตรายสาหัส
- และกรณีติดเชื้อ หรือกรณีบาดเจ็บและได้รับการรักษาไม่เกิน 20 วัน
ยกระดับด่าน เฝ้าระวังmpox ฝีดาษลิง
ด้านนพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค(คร.) กล่าวว่า ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศในสนามบินทุกแห่ง ด่านทางบก ทางน้ำ ทั้ง 69 ด่าน ถ้าใครเดินทางเข้ามาจากทวีปแอฟริกากลางและแอฟริกาตะวันออก เช่นประเทศสาธารณรัฐบุรุนดี สาธารณรัฐเคนยา สาธารณรัฐรวันดา สาธารณรัฐยูกันดา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ที่มีการระบาดของฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิงตามที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ประกาศ ก็จะมีการตรวจสอบด้วยการให้มารายงานตัวกับเจ้าหน้าที่ด่านฯ เพื่อช่วยดูแลว่ามีตุ่มหนอง มีอาการหรือไม่ และยังไม่จำเป็นต้องกักตัว เพราะประเทศไทยไม่ได้ประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตราย หากผ่านด่านแล้วมีอาการจึงจะดำเนินการตามขั้นตอนเฝ้าระวัง
“ไม่ใช่ใครที่มีจากแอฟริกาแล้วต้องกักตัวทั้งหมด ยังสามารถดำเนินการได้ตามปกติ เพียงแต่เข้มงวดขึ้นในกลุ่มประเทศที่องค์การอนามัยโลกประกาศ ส่วนผู้ที่เดินทางจากประเทศที่มีการระบาดของmpoxเข้ามายังประเทศไทยก่อนที่องค์การอนามัยโลกจะประกาศให้เป็นภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข ขอให้สังเกตตัวเอง หากมีอาการเข้าข่าย ให้รีบเข้ารับการรักษา ที่สำคัญ ขอให้แจ้งประวัติการเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงกับแพทย์ด้วย”นพ.ธงชัยกล่าว
นพ.ธงชัย กล่าวอีกว่า เชื้อที่ทำให้เกิดผู้ป่วยฝีดาษวานรหรือฝีดาษลิงในประเทศไทยตอนนี้ เป็นคนละตัวกับทางองค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสายพันธุ์เคลด 1b ส่วนในไทยเป็นสายพันธุ์เคลด 2 อย่างไรก็ตาม ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของไทยมีศักยภาพสามารถตรวจแยกได้ทั้ง 2 สายพันธุ์ ขณะนี้หากพบผู้ป่วยยืนยันmpoxหรือฝีดาษลิง ก็จะสุ่มตรวจสายพันธุ์ แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่พบเคลด1ในไทย
“อัตราการเสียชีวิตจากmpox สายพันธุ์เคลด 1b ที่องค์การอนามัยโลกประกาศอยู่ที่ราว 5 % แต่ในไทยที่เป็นสายพันธุ์เคลด 2 อยู่ที่ราว 1.3 % แต่ไม่ใช่ว่าคนปกติจะมีอัตราการเสียชีวิตนี้ เนื่องจากผู้เสียชีวิตในสะสม 11 รายนั้น 100 % เป็นผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำ”นพ.ธงชัยกล่าว