ยื่น "แพทองธาร" แก้ 3 เรื่องวิกฤติระบบสาธารณสุข

ยื่น "แพทองธาร" แก้ 3 เรื่องวิกฤติระบบสาธารณสุข

ทีมแพทย์ยื่นเรื่องถึง นายกฯแพทองธาร เสนอ 3 เรื่องแก้วิกฤติระบบสาธารณสุข จัดงบฯให้เพียงพอ เพิ่มเงินหรือร่วมจ่าย– ออกนโยบายมุ่งสร้างเสริมสุขภาพ -คงกำลังคนไว้ในระบบ

เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) คณะแพทย์ช่วยเพื่อนแพทย์และประชาชน(ชพพป.)  ประกอบด้วย  ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.อำนาจ กุสลานันท์ หัวหน้า ชพพป. พล.ต.ต.นพ.พัฒนา กิจไกรลาส รองหัวหน้า ชพพป. ,นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ เลขานุการ ชพพป. และพญ.สุธัญญา บรรจงภาค รองเลขานุการ ชพพป. เข้ายื่นหนังสือถึงน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  ผ่านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข   เพื่อขอให้แก้ปัญหา วิกฤติระบบสาธารณสุขของชาติ  ซึ่งนพ.วัฒน์ชัย จรูญวรรธนะ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง เป็นผู้รับหนังสือแทน

จัดฯงบให้เพียงพอ -ชงร่วมจ่ายบัตรทอง 30 บาท

ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.อำนาจ กล่าวว่า การเข้ายื่นหนังสือครั้งนี้ เพื่อขอให้รัฐบาลดำเนินการแก้ปัญหาระบบสาธารณสุขใน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่  1.อนุมัติจ่ายเงินงบประมาณด้านการรักษาพยาบาล ในระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น และบริหารจัดการเงินที่จ่ายให้โรงพยาบาลให้เพียงพอกับการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาล  กรณีที่มีความจำเป็นอาจต้องให้ผู้ป่วยร่วมจ่ายด้วย เพื่อให้โรงพยาบาลของรัฐยังคงมีเงินเพียงพอ ที่จะให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 รัฐต้องแก้เรื่องงบประมาณทั้งระบบ ด้วยการขอดูตัวเลขจริงๆ ว่าในการเข้ารักษาในเป็นผู้ป่วยในแต่ละครั้งรพ.มีต้นทุนที่เท่าไหร่ และลดลงต่ำสุดได้เท่าไหร่โดยที่การรักษายังได้มาตรฐานอยู่ได้ แล้วรัฐจัดสรรงบประมาณให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)จ่ายให้รพ.ให้ได้ตามอัตราที่กำหนด  แต่หากรัฐบาลบอกว่า ไม่ไหวแล้ว เงินมีแค่นี้ ก็อาจต้องให้ประชาชนร่วมจ่าย ทั้งญี่ปุ่น ต่างประเทศก็มีการร่วม ซึ่งการร่วมจ่ายมีหลายแบบ โดยที่ไม่ให้คนจนเดือดร้อน 

“ถ้างบประมาณจ่ายให้รพ.ไม่เพียงพอ ทางรพ.อาจตัดงบพิเศษการตรวจอื่นๆ หรือยาดีๆอาจถูกลดก็เป็นได้ แพทย์ก็ลำบากใจ   แพทย์ไม่อยู่ในระบบราชการ ต่อไปก็ทำให้ระบบล้ม”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.อำนาจกล่าว  

 

สร้างเสริมสุขภาพ วาระแห่งชาติ

2.เปลี่ยนนโยบายด้านสาธารณสุข โดยเน้นให้มีการสร้างเสริมสุขภาพเป็นหลัก ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี ลดภาระการรักษาพยาบาลของรัฐ โดยจัดให้มีการประชาสัมพันธ์เป็นวาระแห่งชาติ  เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกาย รับประทานอาหารสุขภาพ และลดความเครียด งดบุหรี่ กัญชา กระท่อม ยาบ้า งดหรือลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อให้ประชาชนมีความสุข มีสุขภาพดี ซึ่งสุดท้ายจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายการรักษาพยาบาลที่อยู่ในภาวะวิกฤติลดลงได้ในที่สุด

 “ควรกำหนดนโยบายสร้างเสริมสุขภาพเป็นวาระแห่งชาติ  เพราะการดำเนินการเรื่องนี้ประชาชนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่หากประชาชนสุขภาพดี  งบประมาณที่เป็นค่ารักษาก็จะลดลง ระยะยาวงบก็จะพอเพียง”ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.อำนาจกล่าว  

เพิ่มค่าตอบแทนคงคนไว้ในระบบ

และ3.เพิ่มค่าตอบแทนแพทย์ให้เหมาะสม และปรับภาระงานไม่ให้ล้นเกิน เพื่อให้แพทย์มีเวลาเพียงพอในการตรวจรักษาผู้ป่วยด้วยความละเอียดรอบคอบมากขึ้น และมีเวลาพักผ่อนตามสมควร รวมทั้งมีมาตรการลดความเสี่ยงในการถูกฟ้องร้อง เพื่อแก้ปัญหาแพทย์ลาออกจากระบบราชการจำนวนมาก
ตัวอย่าง ค่าตอบแทนต้องเหมาะสม เช่น ค่าเวรฉุกเฉิน บางครั้งแพทย์ไม่ได้ทานข้าว ซีพีอาร์คนไข้ 10 กว่ารายก็มี แต่ได้รับ 1,200 บาทต่อ 8 ชั่วโมง เฉลี่ยชั่วโมงละ 150 บาท ขณะที่การเป็นแพทย์ในคลินิกเสริมความงามได้ชั่วงโมงละเป็นหมื่นบาท ก็ทำให้แพทย์ไม่อยากอยู่ในระบบราชการ จึงควรเพิ่มเป็นอย่างน้อย 2,400 บาท โดยรัฐฯต้องจัดสรรงบฯมาให้ไม่ใช่ใช้เงินบำรุงของรพ. 

3 จุดแก้ปัญหางบสาธารณสุข

ด้าน นพ.โชติศักดิ์ เจนพาณิชย์ เลขานุการ ชพพป. กล่าวว่า หากเงินไม่พอ จะไปต่อไม่ได้ แต่ด้วยเงินเป็นทรัพยากรจำกัด การดำเนินการเรื่องนี้  คือ 1.เพิ่มรายได้ ด้วยการที่รัฐเติมเงินเข้ามาให้ระบบสาธารณสุข  หรือให้ประชาชนร่วมจ่าย

2.ลดรายจ่าย ด้วยการสร้างเสริมสุขภาพประชาชน อาจมีแนวคิดเป็นโครงการ ไม่เจ็บป่วยได้แต้ม เป็นแนวคิดเชิงบวก แต้มนั้นจะนำไปทำอะไรต่อไป

 และ3.บริหารจัดการงบฯที่ได้มาให้ดี  ต้องมีการตรวจสอบการใช้เงินที่มีอยู่ อย่างได้มา 100 บาทถึงการดูแลประชาชนกี่บาท กระบวนการจัดสรรงบฯเป็นคอขวดอยู่ตรงไหน ขั้นตอนการเบิกเป็นอย่างไร  เรื่องนี้ดำเนินการได้ทันทีเพราะไม่ต้องเพิ่มเงิน 

ผลกระทบหากไม่แก้ปัญหา

พล.ต.ต.นพ.พัฒนา กิจไกรลาส  รองหัวหน้าชพพป. กล่าวว่า  เมื่องบประมาณไม่เพียงพอ สุดท้ายหน่วยบริการจะไปลดรายจ่าย และอาจกระทบการบริการได้ในอนาคต แพทย์ก็ลำบากใจ บุคลากรต่างๆ อยู่ด้วยความไม่สบายใจ เพราะเราถูกฝึกให้ดูแลผู้ป่วยดีที่สุด สิ่งเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นก็ย่อมเสี่ยงให้แพทย์ถูกฟ้อง สุดท้ายบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน เกิดปรากฏการณ์สมองไหล คนออกจากระบบมากขึ้นเรื่อยๆ