สิทธิประโยชน์ใหม่ "บัตรทอง 30 บาท" ปี 68 พร้อมเพิ่มงบผู้ป่วยใน 10 %
สปสช. เผยแนวทางบริหารจัดการกองทุน "บัตรทอง 30 บาท" ปีงบประมาณ 2568 เดินหน้าพัฒนา “30 บาทรักษาทุกที่” ขยายหน่วยบริการนวัตกรรม-สิทธิประโยชน์บริการใหม่ เพิ่มงบผู้ป่วยใน10% ปรับระบบ กลไกการจ่าย แก้ปัญหาส่งต่อใน กทม.
นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ปีงบประมาณ 2568 ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการงบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) จะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่
1. การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบัตรทองภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่
2. การปรับปรุงระบบและกลไกการจ่ายของ สปสช. รวมถึงเพิ่มงบประมาณ เพื่อตอบสนองต่อเสียงสะท้อนของหน่วยบริการ
ในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบบัตรทอง ภายใต้นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งขณะนี้ดำเนินการมาแล้ว 46 จังหวัด และจะครบทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2567 จะเป็นการเพิ่มหน่วยบริการนวัตกรรม และขยายนวัตกรรมบริการต่างๆ เช่น การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เป็นต้น ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของกลุ่มที่ยังไม่ใช้สิทธิในการรักษาตามระบบ
ส่วนบริการผู้ป่วยในในปี 2568 งบบัตรทอง ประเภทผู้ป่วยในยังได้มีการเพิ่มขึ้นกว่า 10% จากปี 2567 เพื่อรองรับการรับบริการของประชาชนสิทธิบัตรทองที่มีโอกาสจะเพิ่มมากขึ้นจากนโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ พร้อมกับทำให้หน่วยบริการได้รับค่าบริการเพิ่มขึ้นด้วย
สำหรับการดูแลประชาชนให้มากขึ้น โดยปี 2568 จะมีการขยายสิทธิประโยชน์ที่เป็นการทำต่อเนื่องจากปี 2567 และ สิทธิประโยชน์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่
สิทธิประโยชน์ที่ทำต่อเนื่อง เช่น ขยายกลุ่มเป้าหมายการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV) คัดกรองโรคทางพันธุกรรมในเด็กแรกเกิด ตรวจปัสสาวะคัดกรองมะเร็งพยาธิใบไม้ในตับ สายด่วนสุขภาพจิต 1323 ยาจิตเวช เป็นต้น
ส่วนสิทธิประโยชน์ใหม่ที่ได้งบประมาณมาแล้ว และจะพิจารณากันต่อ เช่น การคัดกรองวัณโรคระยะแฝง การให้ฮอร์โมนสำหรับคนข้ามเพศ สายด่วนวัยรุ่น การให้คำปรึกษาทางจิตเวช (Countseling) เป็นต้น
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ส่วนการปรับระบบและกลไกการจ่ายเพื่อแก้ไขข้อติดขัดที่เกิดขึ้น จะเน้นไปที่พื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับคลินิกชุมชนอบอุ่นที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการประจำในกรุงเทพฯ และส่งต่อรักษาจากคลินิกฯ ไปที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่
การปรับระบบ สปสช. จะจัดสรรงบบัตรทองเหมาจ่ายรายหัวให้กับทางคลินิกเหมือนเดิมแต่จะพยายามให้ครอบคลุมประชากร 1 หมื่นคน ซึ่งถ้ามีการส่งต่อรักษาและโรงพยาบาลรับส่งต่อมีการเรียกเก็บค่าบริการ ให้คลินิกจ่ายเพียง 800 บาทตามที่ตกลงกันไว้เท่านั้น ส่วนที่เหลือให้ทางโรงพยาบาลรับส่งต่อเบิกจาก สปสช. และในตอนที่คลินิกต้องตามจ่าย 800 บาทให้นั้น สปสช. จะมีการให้คลินิกตรวจสอบข้อมูลก่อนจ่ายร่วมกันด้วยว่ามีการส่งต่อไปจริงหรือไม่
อีกทั้งยังจะมีการสร้างกติกาใหม่เพื่อป้องกันกรณีคลินิกกลัวจะต้องตามจ่ายทำให้ไม่ออกใบส่งตัวให้ผู้ป่วย แต่ผู้ป่วยจำเป็นต้องไปรับบริการที่โรงพยาบาล สปสช. จะใช้ระบบใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องกลับไปเอาใบส่งตัวจากคลินิก เพียงโทร. สายด่วน สปสช. 1330 จะมีเจ้าหน้าที่ประสานให้คลินิกออกใบส่งตัวอิเล็กทรอนิกส์ให้
ถ้าผู้ป่วยไปแบบไม่มีใบส่งตัว โดยมีความจำเป็นที่จะต้องไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล สปสช. จะตามไปจ่ายให้กับโรงพยาบาลรับส่งต่อให้ ไม่ต้องกลัว แต่ถ้าบางกรณีสามารถส่งกลับไปรักษาที่คลินิกได้ ก็จะขอให้โรงพยาบาลช่วยทำเรื่องส่งกลับ
“ทั้งหมดนี้เป็นแผนการดำเนินงานของ สปสช. ในปีงบประมาณ 2568 โดยมีประชาชนเป็นเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึง อย่างมีมาตรฐานบริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อร่วมยกระดับให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีตามนโยบายของรัฐบาล” นพ.จเด็จกล่าว