"รมว.สธ."ติวสูตร "กินคาร์บเฉพาะบุคคล" ทำเอง 2 เดือนลด 3 กิโล กินพอดี ลดโรค NCDs
“สมศักดิ์” รมว.สธ.ปลุกกระแสคนไทย “กินพอดี ไม่ป่วยNCDs” ติวสูตรคำนวณ “คาร์บเฉพาะบุคคล” ช่วยลดน้ำหนัก ยกตัวเองทำ 2 เดือนลดได้ 3 กิโลกรัม หวังอสม.นำไปขยายผล ลดจำนวนคนป่วยโรคNCDsรายใหม่ เร่งดันพ.ร.บ.อสม.นำเงินส่วนลดค่ารักษาโรคเข้ากองทุน
เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายสุขภาพภาคประชาชน เพื่อต่อสู้โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรคเอ็นซีดี(NCDs)ว่า รัฐบาลมีนโยบายนำศักยภาพของเครือข่ายสาธารณสุขทุกภาคส่วน รวมถึง อสม. ในการส่งเสริม ป้องกัน และควบคุมโรคNCDs ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่สามารถป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสม
จากงานวิจัยของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ WHO ในปี 2562 ระบุว่า คนไทยเสียชีวิตด้วย NCDs ปีละกว่า 400,000 ราย และสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 9.7% ของGDP โดยเป็นค่ารักษาพยาบาลทางตรง 1.39 แสนล้านบาท และความสูญเสียทางอ้อมอีก 1.5 ล้านล้านบาท ค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคNCDsปี 2560 สูงกว่า 62,138 ล้านบาท คิดเป็นเกือบ 50% ของงบประมาณสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ทั้งนี้ ไทยมีผู้ป่วยเบาหวาน 6.5 ล้านคนเพิ่มปีละ 3 แสนคน ความดัน 14 ล้านคน ไตทุกระยะกว่า 1 ล้านคน และมะเร็ง 4.4 แสนคน รายใหม่ 1.4 แสนคนต่อวัน ตายปีละ 83,000 คน
อสม.จะมีบทบาทสำคัญเป็นพระเอกนางเองที่จะมาช่วยลดผู้ป่วยรายใหม่ ซึ่งปัจจุบัน อสม.มีกว่า 1 ล้านคน เฉลี่ยอสม. 1 คนดูแลประชากรราว 50 คน ดังนั้น อสม. 1,080,000 คนคูณด้วย 50 ก็ประมาณ 50 กว่าล้านคน ถ้า 50 กว่าล้านคนเข้าใจเรื่องการลดโรคNCDs ก็จะทำให้ชะลอคนที่ป่วยไม่ให้รุนแรงมากขึ้นและลดคนที่จะป่วยรายใหม่ โดยอสม.จะต้องส่งต่อความรู้ ความเข้าใจให้กับคนที่อยู่ในความดูแล การทำหน้าที่นี้ของอสม.หากคิดเป็นค่าทำประชาสัมพันธ์คนละ 100 บาทกับ 50 ล้านคนก็เท่ากับค่าทำประชาสัมพันธ์ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจำนวนเงินตรงนี้หากทำให้คนไม่ป่วยถือว่าคุ้มค่ามหาศาล
แนวทางหนึ่งที่อยากให้อสม.ไปนำเสนอให้ประชาชนที่อยู่ในการดูแล คือ การคำนวณอัตราการเผาผลาญของร่างกาย(หรือการใช้พลังงาน)ขั้นพื้นฐานในชีวิตประจำวันที่เป็นของนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ซึ่งเป็นการคำนวณปริมาณการรับประทานคาร์โบไฮเดรต หรือข้าวของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน โดยคำนวณจากอายุ ส่วนสูง น้ำหนัก กิจกรรมทางกายในแต่ละวัน หรือเรียกว่า “กินคาร์บ” จะคำนวณออกมาได้เป็นปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อวันที่เหมาะสมของแต่ละคน กำหนดเป็นทัพพีมาตรฐานที่ 15 กรัมต่อทัพพีหน่วยจะออกมาเป็น “คาร์บ” เช่น หากคำนวณได้ที่ 10 คาร์บหรือ 10ทัพพีมาตรฐานที่ 15 กรัม ก็ควรบริโภคคาร์โบไฮเดรคต่อวันไม่เกิน 10 คาร์บ เป็นต้น
“สูตรนี้คำนวณคาร์บนี้จะช่วยให้แต่ละคนรู้ว่าจะต้องรับประทานต่อวันเท่าไหร่จึงมีความเหมาะสม ไม่บริโภคเกินไป ซึ่งส่วนตัวผมใช้วิธีนี้มาแล้ว 2 เดือนลดน้ำหนักได้ 3 กิโลกรัม สมมติว่าคนกำลังจะเป็นเบาหวานอยู่ หากคำนวณคาร์บแล้วลดข้าว กินให้พอดี ก็จะลดโอกาสป่วยเป็นเบาหวานได้"นายสมศักดิ์กล่าว
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่อสม.จะต้องนำไปสื่อสาร กินเป็นไม่ป่วย ไม่ใช่อด กินได้เต็มที่ เพียงแต่กินให้อยู่ในปริมาณที่คำนวณ และจะทำเป็นโปรแกรมแทนค่าต่างๆในโทรศัพท์มือถือเพื่อง่ายต่อการใช้งานด้วย ส่วนคนที่ไม่ป่วย ไม่กำลังจะป่วย ไม่ได้อ้วน ก็กินไปเถอะ แต่คนที่จะป่วยแล้วต้องมาเข้าโปรแกรมนี้
เมื่ออสม.มีบทบาทในการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ทำให้คนป่วยรายใหม่ลดลง และเงินที่ลดได้จากการที่ต้องไปดูแลคนป่วยผู้ป่วย ก็ควรนำกลับมาให้ อสม. ขณะนี้กำลังผลักดันร่าง พ.ร.บ.อสม. ติดอยู่ที่กรมบัญชีกลาง เนื่องจากมีประเด็นเพิ่มเรื่องที่มาของแหล่งเงินทุน ที่จะตอบแทนลงไปที่ อสม. เพราะเมื่อไม่ป่วยก็ไม่ต้องรักษาไม่ต้องใช้เงิน เงินที่เหลือก็สามารถเอาไปให้กับ อสม. เบื้องต้น จะนำไปใส่ไว้ในกองทุนที่เขียนไว้ในกฎหมายนี้ ส่วนการบริหารกองทุนจะต้องพิจารณาต่อไป ต้องมีกรรมการบริหารกองทุน มีกลไกการดำเนินงานให้ชัดเจน และมีการชี้แจงความกังวล เพราะบางหน่วยกังวล ว่า อสม.จะทำงานที่อาจซ้อนกับภาครัฐอื่น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย(พท.)ได้มีการยกร่างพ.ร.บ.อสม.ฉบับพรรคเพื่อไทยและบรรจุอยู่ในระเบียบวาระสภาผู้แทนราษฎรแล้ว เพื่อรอร่างของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ทั้งนี้ ได้ตนได้หารือกับรมว.คลังคาดว่ากระทรวงการคลังจะมีการประชุมร่างพ.ร.บ.ภายในสัปดาห์แรกหรือสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพ.ย.2567