4 โรค 'LGBT' เสี่ยงป่วย กรมอนามัยวางแนวทางสร้างสุขภาพ
ไทยมี LGBT แบบเปิดเผยราว 4 ล้านคน ผลวิจัยทั้งไทยและต่างประเทศ พบส่วนใหญ่เสี่ยงป่วยด้วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์-มะเร็งปากมดลูก-มะเร็งทวารหนัก-ไวรัสตับอักเสบ A B กรมอนามัยวางแนวทางสร้างสุขภาพกลุ่ม LGBTQIAN+
เมื่อวันที่ 20 ธ.ค.2567 พญ.นงนุช ภัทรอนันตนพ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยในการเป็นประธานเปิดการประชุมสถานการณ์ปัญหาและความต้องการด้านการส่งเสริมสุขภาพ สำหรับกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQIAN+ ว่า จากข้อมูล SDG Port ปี 2564 พบว่า ประเทศไทยมี LGBT ที่เปิดเผยตัวตน จำนวน 4 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากข้อมูลของ LGBT Capital ปี 2562 ที่มีจำนวน 3.6 ล้านคน จากการศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ พบว่า LGBT ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงกับปัญหาสุขภาพที่หลากหลาย
- Lesbian เสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน มะเร็งปากมดลูก มะเร็งรังไข่ และสุขภาวะอนามัยเจริญพันธุ์
- Gay เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV มะเร็งทวารหนัก ไวรัสตับอีกเสบ A B และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- Transwoman เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV มะเร็งทรวารหนัก ไวรัสตับอักเสบ A B รวมทั้งการเสี่ยงต่อการใช้ฮอร์โมนการแปลงเพศ และอาการแทรกซ้อนจากการทำศัลยกรรม
จากการสำรวจความต้องการด้านสุขภาพของกลุ่ม LGBT พบว่า มีความต้องการการรักษาพยาบาลที่เท่าเทียม การพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยีด้านสุขภาพ และสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ
กรมอนามัยจึงพัฒนาแนวทางการส่งเสริมสุขภาพกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBT โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน พร้อมจัดทำชุดข้อมูลองค์ความรู้และแนวทางการดูแลสุขภาพที่เฉพาะเจาะจงและตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่ม LGBT รวมถึงการส่งเสริมสุขภาพการป้องกันโรคและจัดการปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนในกลุ่ม LGBT สามารถดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชนได้อย่างเหมาะสม ยั่งยืน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
นพ.ปกรณ์ ตุงคะเสรีรักษ์ ผู้อํานวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กล่าวว่า ชุดข้อมูลองค์ความรู้และแนวทางการส่งเสริมสุขภาพที่กรมอนามัยพัฒนาขึ้น มุ่งตอบโจทย์ความต้องการเข้าถึงข้อมูลองค์ความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพ และป้องกันโรคที่ถูกต้องเหมาะสมในประชาชนกลุ่ม LGBTQIAN+ ที่เข้าถึงยากให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นตามช่องทางการสื่อสารที่ตรงกับความต้องการของประชาชนกลุ่ม LGBTQIAN+
โดยเริ่มเดินหน้าในกลุ่ม LGBT ที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ในการสร้างสุขภาพร่วมกับกรมอนามัย อีกทั้ง ยังได้รับความร่วมมือจากกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต และภาคประชาสังคม รวมทั้งมี ตัวแทนจากสมาคม มูลนิธิ และชมรมกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาแนวทางการส่งเสริมสุขภาพให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริง ถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ LGBTQIAN+ อันจะนําไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างเสมอภาคและยั่งยืน