‘อหิวาตกโรค’กลายพันธุ์ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่องทำให้รุนแรงขึ้น

‘อหิวาตกโรค’กลายพันธุ์ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่องทำให้รุนแรงขึ้น

ศูนย์จีโนมฯ รามาฯ เผย "อหิวาตกโรคกลายพันธุ์"  มีความรุนแรงกว่าเดิม เพราะมีการเปลี่ยนแปลง  4 เรื่อง  อยู่ทน-ดื้อยา-หลบเลี่ยงดี ขณะที่ “วัคซีนอหิวาตกโรค”ยังไม่จำเป็นต้องใช้ทั่วไป

KEY

POINTS

  • องค์การอนามัยโลกหรือฮู(WHO)ประกาศให้อหิวาตกโรคเป็นภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่ สถานการณ์ในไทยสามารถควบคุมได้จากที่พบผู้ป่วย 4 ราย ผลจากการระบาดในเมืองชเวโก๊กโก่ เมียนมาชายแดนจ.ตาก
  • ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี เผยอหิวาตกโรคกลายพันธุ์ ทำให้เปลี่ยนแปลง 4 เรื่องสำคัญ ความรุนแรงมากขึ้น
  • วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค จำเป็นสำหรับผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่ระบาดรุนแรง ไม่ได้ใช้ทั่วไป  ให้ทางการหยอดเข้าปาก การกินเข้าไป ต้องรับครบก่อน 2 สัปดาห์ถึงจะมีภูมิคุ้มกัน ที่อยู่ได้ 2 ปี ประสิทธิผลไม่ได้สูงมาก 60-80%

ก่อนสิ้นปี 2567 ไม่นาน องค์การอนามัยโลกหรือฮู(WHO)ประกาศให้อหิวาตกโรคเป็นภาวะฉุกเฉินครั้งใหญ่ เนื่องจากมีการระบาดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีระบบน้ำและสุขอนามัยไม่เพียงพอ แม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลง แต่การเสียชีวิตกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าวิตก

ขณะเดียวกัน วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคชนิดรับประทานในคลังสำรองทั่วโลกหมดลง ส่งผลกระทบต่อการควบคุมการแพร่ระบาด WHO จึงออกมาตรการเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่ การปรับปรุงระบบน้ำและสุขาภิบาล การเพิ่มประสิทธิภาพในการเฝ้าระวังการระบาด และการเร่งผลิตวัคซีนให้เพียงพอต่อความต้องการ

ในปี 2566 ทั่วโลกมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 13% จำนวน 535,321 ราย และผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 71% หรือ กว่า 4,000 ราย โดยเฉพาะในแอฟริกาที่มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 125% ปัญหาสำคัญคือการขาดแคลนวัคซีนชนิดรับประทานและการเข้าถึงการรักษา

อหิวาตกโรค สถานการณ์ล่าสุดในไทย

 มีการรายงานงอหิวาตกโรคในประเทศไทย พม่า และลาว โดยมีความรุนแรงแตกต่างกัน ในประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดี ตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2567 มีผู้ป่วยสะสม 4 ราย แบ่งเป็น ชาวต่างชาติ 2 ราย คนไทย 2ราย  และมีผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการ อีก3ราย ต่างชาติ 2 ราย คนไทย 1 ราย ทั้งหมดได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว และไม่มีผู้เสียชีวิต

ส่วนในเมืองชเวโก๊กโก่ ประเทศเมียนมา ซึ่งติดกับชายแดนจังหวัดตาก สถานการณ์ดีขึ้น จำนวนผู้ป่วยลดลงจาก 761 รายในปลายธันวาคม 2567 เหลือเพียง 40 รายที่กำลังรักษาอยู่ แม้จะดีขึ้น แต่บางเขตใกล้ชายแดนยังคงเป็นพื้นที่เสี่ยงสูงสำหรับผู้ป่วยรายใหม่
‘อหิวาตกโรค’กลายพันธุ์ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่องทำให้รุนแรงขึ้น

อหิวาตกโรคกลายพันธุ์ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่อง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2568 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล  ให้ข้อมูลผ่านเฟซบุ๊กเพจของศูนย์ฯ สาระสำคัญส่วนหนึ่งคือ การกลายพันธุ์ที่น่ากังวล พบสายพันธุ์ใหม่ BD-1.2 ที่มีความรุนแรงกว่าสายพันธุ์เดิม (BD-2) เนื่องจากมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้

  • เชื้อสร้างไบโอฟิล์มได้ดีขึ้น อยู่ในลำไส้ได้นานขึ้น
  • ทนต่อสภาพกรดในลำไส้ได้ดีขึ้น
  •  ดื้อต่อยาหลายชนิด
  • หลบเลี่ยงการถูกทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น

จากผลงานตีพิมพ์ในวารสาร Nature Communications (2024) วิเคราะห์เปรียบเทียบสายพันธุ์ของเชื้อ Vibrio cholerae ในบังกลาเทศระหว่างปี 2015-2021 พบความแตกต่างสำคัญดังนี้

อหิวาตกโรค สายพันธุ์ BD-1.2

• เป็นสายพันธุ์ที่พบใหม่และเป็นสาเหตุของการระบาดในปี 2022 แทนที่สายพันธุ์ BD-2 ที่เคยระบาดก่อนหน้านี้

• มียีนที่ทำให้เชื้อรุนแรงขึ้น:

- lon_3: ควบคุมการสร้างไบโอฟิล์ม ทำให้เชื้อเกาะติดผนังลำไส้ได้ดีและอยู่รอดได้นาน

- endA: ช่วยเพิ่มความรุนแรงของเชื้อผ่านการสร้างและปลดปล่อยสารพิษ

- bcr_2: ทำให้ดื้อต่อยาหลายชนิด ทำให้การรักษายากขึ้น

• มีการกลายพันธุ์ที่เพิ่มความสามารถในการอยู่รอด:

- OmpU G325D: ทำให้ต้านทานต่อแบคทีริโอฟาจได้ดีขึ้น ลดการถูกทำลายโดยไวรัส

- fabV และ gshB: ช่วยให้เชื้อปรับตัวในสภาพความเป็นกรดในลำไส้ได้ดีขึ้น

อหิวาตกโรค สายพันธุ์ BD-2

• เป็นสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบก่อน มีความรุนแรงน้อยกว่า BD-1.2

• มียีนเฉพาะที่สำคัญ:

- aer_3: ช่วยในการตอบสนองต่อระดับออกซิเจน ทำให้ปรับตัวในสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้

- hlyA_2: สร้างสารพิษ แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่ายีนในสายพันธุ์ BD-1.2

- tetA และ tetR: ให้การดื้อต่อยา tetracycline เท่านั้น ไม่ได้ดื้อยาหลายขนาน

- mcrC: เป็นระบบป้องกันตัวเองของเชื้อ

ความสำคัญทางคลินิก

การเข้าใจความแตกต่างนี้มีความสำคัญต่อการวางแผนรักษาและควบคุมการระบาด เนื่องจากสายพันธุ์ใหม่ BD-1.2 มีคุณสมบัติที่ทำให้ควบคุมและรักษายากขึ้นกว่าสายพันธุ์เดิม

ผลกระทบทางคลินิก คือ ผู้ป่วยมีอาการรุนแรงขึ้น ทำให้การรักษายากขึ้น ส่วนผลทางระบาดวิทยาคือเชื้อแพร่กระจายได้มากขึ้นและควบคุมยากขึ้น จำเป็นต้องมีการพัฒนาแนวทางการรักษาใหม่ การเฝ้าระวังการกลายพันธุ์ และการปรับปรุงมาตรการควบคุมป้องกันโรคให้เหมาะสม

ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้อหิวาตกโรคระบาดเพิ่มมากขึ้น

1.สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบต่อการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค เนื่องจาก

  • อุณหภูมิที่สูงขึ้นช่วยให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
  • ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่น เอลนีโญและลานีญาส่งผลต่อสภาพอากาศ
  • การเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเลและความเค็มสามารถสร้างสภาวะที่เหมาะสมต่อการแพร่กระจายของเชื้อ

2.สภาวะความเป็นเมือง การขยายตัวของเมืองและชุมชนที่มีความหนาแน่นสูงส่งผลให้:

  • เกิดแหล่งแพร่ระบาดของโรคติดต่อ
  •  การใช้น้ำร่วมกันในชุมชนเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ

3.ภัยธรรมชาติเหตุการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมและแผ่นดินไหว สามารถทำให้:

  • สภาพสุขอนามัยในพื้นที่ถูกทำลาย
  • ประชาชนต้องอพยพ ทำให้เกิดการรวมกลุ่มในสถานที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  • ระบบการดูแลสุขภาพได้รับผลกระทบ
    ‘อหิวาตกโรค’กลายพันธุ์ เปลี่ยนแปลง 4 เรื่องทำให้รุนแรงขึ้น

4.การเดินทางและการขนส่งที่เพิ่มขึ้นทำให้

  • เชื้อโรคสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการเดินทางทางอากาศ
  • การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสามารถนำเชื้อโรคเข้ามาในประเทศได้

5.สภาพแวดล้อมทางน้ำบทบาทสำคัญในการแพร่ระบาด เนื่องจาก

  •  แหล่งน้ำในชุมชนที่ขาดการจัดการด้านสุขาภิบาล
  • การปนเปื้อนของเชื้อในแหล่งน้ำธรรมชาติ

6.พฤติกรรมในการบริโภคอาหารมีผลต่อการแพร่ระบาด เช่น

  •  การบริโภคอาหารทะเลดิบหรือกึ่งสุกกึ่งดิบ
  •  การบริโภคผักและผลไม้ที่ไม่ได้ล้างให้สะอาด

การเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้จะช่วยในการวางแผนป้องกันและควบคุมการระบาดของอหิวาตกโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

วัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า การที่WHOประกาศออกมา เพื่อต้องการยกระดับความตระหนัก เรื่องของความสะอาดของน้ำ สุขาภิบาลอาหาร กินร้อนมากกว่า ไม่ได้แนะนำให้ใช้วัคซีนเป็นมาตรการแรก แต่วัคซีนไม่ใช่มาตรการหลัก เป็นเพียงมาตรการเสริมสำหรับคนที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด เช่น จะเดินทางไปยังเมียนมา และไปจุดที่ต้องไปทำงานพื้นที่ระบาด ถึงจะเหมาะสม

วัคซีนอหิวาตกโรค จะคล้ายวัคซีนโปลิโอ ให้ทางการหยอดเข้าปาก การกินเข้าไป เป็นแบบน้ำให้ 2 โดส ห่างกัน 2 สัปดาห์ แต่วัคซีนชนิดนี้จะแนะนำสำหรับคนที่จำเป็นต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของอหิวาตกโรครุนแรง ไม่ได้ใช้ทั่วไป  ต้องรับครบก่อน 2 สัปดาห์ถึงจะมีภูมิคุ้มกัน ที่สำคัญไม่ได้ป้องกันตลอดไป จะให้ภูมิคุ้มกัน 2 ปีเท่านั้น ประสิทธิผลไม่ได้สูงมากประมาณ 60-80% ผู้ที่รับวัคซีนยังมีความเสี่ยงหากรับเชื้อก็ป่วยได้ แต่รุนแรงน้อยลง

“ประเทศไทยมีวัคซีนอยู่แล้ว และให้เฉพาะคนที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ระบาด แต่วัคซีนชนิดนี้ไม่ได้ฟรี ปัจจุบันกรมควบคุมโรค สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลเอกชนมีวัคซีนชนิดนี้ แต่ใช้สำหรับคนเดินทางไปพื้นที่ระบาดเท่านั้น ราคาประมาณ 400-500 บาทต่อโดส” นพ.โสภณ กล่าว