'เอไอคัดกรองเบาหวานเข้าจอตา' รู้ผลทันที ผลศึกษาแม่นยำ 95%
กรมการแพทย์ร่วมมือกับ “กูเกิล”พัฒนา “AI DR Screening” เอไอคัดกรองเบาหวาเข้าจอตา ผลศึกษาวินิจฉัยแม่นยำราว 95% อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์กับอย. ก่อนขยายผลใช้ในรพ.สธ.ทั่วประเทศ ช่วยผู้ป่วยทราบผลทันที ลดความเสี่ยงตาบอด ทลายข้อจำกัดจำนวนจักษุแพทย์
KEY
POINTS
- เบาหวานเข้าจอตา ช่วงแรกจะไม่มีอาการ ปล่อยไว้จะทำให้จอประสาทตาเสื่อม จอตาหลุด จนถึงตาบอด ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่จักษุแพทย์ไทยมีจำกัด
- กรมการแพทย์ร่วมมือกับ “กูเกิล”พัฒนา “AI DR Screening” เอไอคัดกรองเบาหวานเข้าจอตา ผลศึกษาวินิจฉัยแม่นยำราว 95% อยู่ระหว่างขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์กับอย.
- เอไอคัดกรองเบาหวาเข้าจอตา เมื่อผ่านอย. จะขยายผลใช้ในรพ.สธ.ทั่วประเทศ ช่วยผู้ป่วยทราบผลทันที ลดความเสี่ยงตาบอด ทลายข้อจำกัดจำนวนจักษุแพทย์
ประเทศไทยมีป่วยโรคเบาหวาน 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และ 40 % ที่ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานควรได้รับการตรวจตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อค้นหาเบาหวานเข้าจอตา
เนื่องจากในช่วงแรกจะไม่มีอาการ ปล่อยไว้จะทำให้จอประสาทตาเสื่อม จอตาหลุด จนถึงตาบอด แต่หากสามารถตรวจเจอและรักษาทันเวลา จะป้องกันตาบอด
ร่วมมือกูเกิลพัฒนาเอไอ
ขณะที่จำนวนจักษุแพทย์ในประเทศไทยมีจำกัด ประมาณ 2,000 คน ไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่มีประมาณ 9% ของประชากรประเทศ และแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้การคัดกรองเบาหวานเข้าจอตา ไม่สามารถครอบคลุมผู้ป่วยได้ทั่วถึง
เป็นจุดเริ่มให้ “กรมการแพทย์”พัฒนาระบบเทคโนโลยี เพื่อรองรับการให้บริการผู้ป่วยได้มากขึ้น กระทั่ง ได้ร่วมมือกับ “กูเกิล”พัฒนา “เอไอคัดกรองเบาหวานเข้าจอตา”
นพ.สกานต์ บุนนาค รองอธิบดีกรมการแพทย์และโฆษกกรมการแพทย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้กรมได้มีการพัฒนาหลักสูตรอบรมสำหรับพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้สามารถถ่ายภาพจอประสาทตา และอ่านผลภาพจอประสาทตา คัดกรองผู้ป่วยที่มีเบาหวานเข้าจอตา และมีความเสี่ยงต่อตาบอด เพื่อส่งต่อรับการรักษาจากจักษุแพทย์ได้ทันเวลา และมีการใช้ทั่วประเทศให้บริการคัดกรองราว 1 ล้านคนต่อปี จึงมี “คลังภาพจอประสาทตา”จำนวนมาก
ราว 4-5 ปีที่ผ่านมา เมื่อยุคของเอไอทางการแพทย์เข้ามา กรมได้ลงนามความร่วมมือกับกูเกิลพัฒนาต่อยอดเอไอด้วยเทคโนโลยีที่สูงขึ้นที่เรียกว่า Deep Learning ซึ่งทำได้ด้วยข้อมูลมหาศาล big data
เอไอคัดกรองเบาหวานเข้าจอประสาทตานี้ พัฒนาขึ้นมาจากภาพถ่ายจอประสาทตาของผู้ป่วยเบาหวานจำนวนมากกว่า 100,000 ภาพ โดยให้เอไอเรียนรู้ทั้งภาพที่ปกติและภาพที่มีเบาหวานเข้าจอประสาทตาที่มีความรุนแรงระดับต่างๆ รวมทั้งภาวะจุดภาพชัดบวมจากเบาหวาน สาเหตุลำดับ1 ที่ทำให้เกิดตาบอดจากเบาหวาน
ผลศึกษาแม่นยำ 95 %
รพ.ราชวิถี กรมการแพทย์ ได้มีนำมาพัฒนาต่อ เป็นการการศึกษาวิจัยแบบย้อนหลัง เพื่อให้เป็นข้อมูลภาพถ่ายจอประสาทตาของคนไทย เป็นการวิจัยแบบย้อนหลัง ด้วยการทดสอบกับภาพถ่ายของผู้ป่วยเบาหวานไทยที่อยู่ในระบบเขตสุขภาพจำนวนกว่า 20,000 ภาพ ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับการถ่ายไว้ก่อนแล้ว พบว่าระบบเอไอสามารถอ่านภาพจอประสาทตา ค้นหาภาพจอประสาทตาของผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อตาบอด ได้อย่างแม่นยำถึง 95%
และมีการรศึกษาวิจัยแบบไปข้างหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจอีกระดับหนึ่ง ในผู้ป่วยเบาหวานไทยอีกเกือบ 8,000 คน ที่ศูนย์คัดกรองระดับปฐมภูมิจำนวน 9 แห่งในไทย เป็นภาพถ่ายของรายใหม่ พบว่า สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำประมาณ 95% เช่นเดียวกับการวิจัยแบบย้อนหลัง จึงเป็น versionใช้ในคนไทยได้จริง
นอกจากนี้ มีการพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัล อยู่บน web browser เพื่อใช้ร่วมกับเอไอ ซึ่งอยู่ใน cloud ในระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อให้เอไออ่านภาพแบบเรียลไทม์ ให้กับผู้ป่วยที่มารับการคัดกรอง ผู้ป่วยจะทราบผลการคัดกรองได้ทันที โดยสามารถเชื่อมกับกล้องถ่ายภาพจอประสาทตาที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 800 เครื่อง และยังสามารถพัฒนาให้เชื่อมกับข้อมูลผู้ป่วยในระบบข้อมูลของโรงพยาบาล
ผู้ป่วยรู้ผลคัดกรองทันที
เนื่องจากระบบสามารถทำงานผ่านอินเทอร์เน็ต การนำ “ AI DR Screening” มาใช้จึงเป็นการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยช่วยให้ผู้ป่วยสามารถคัดกรองโรคได้อย่างรวดเร็ว ทั่วถึง ครอบคลุมทุกพื้นที่ สามารถคัดกรองแจ้งผลได้ทันที ลดระยะเวลาในการรอคอยผลจากอาจจะ 1-2 วัน
ลดความเสี่ยงตาบอดจากเบาหวานขึ้นจอตา ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาผู้ป่วยทั้งของผู้ป่วย ญาติผู้ดูแล และระบบสาธารณสุขโดยรวม นอกจากนี้ ช่วยลดภาระงานการคัดกรองของแพทย์ จึงสามารถนำเวลาไปใช้รักษาผู้ป่วย หรือการบริการที่จำเป็นต้องใช้แพทย์ได้มากขึ้น
ขั้นตอนการรับบริการ
สำหรับขั้นตอนการทำงานของระบบเอไอ คือ หน่วยบริการลงทะเบียนผู้ป่วยในระบบแพลตฟอร์มดิจิทัล ,ถ่ายภาพจอประสาทตาของผู้ป่วย ,อัปโหลดภาพเข้าสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล และ cloud server ที่มีเอไอ จากนั้นระบบเอไอทำการประมวลผล แปลผลภาพ และส่งผลการอ่านมาที่แพลตฟอร์ม
ทำให้พยาบาลอ่านผล และแจ้งผลการตรวจคัดกรองด้วย ให้ผู้ป่วยทราบได้ทันที โดยกรณีที่พบภาพที่เสี่ยงต่อตาบอด พยาบาลจะส่งต่อข้อมูลผ่านระบบแพลตฟอร์มดิจิทัลนี้ ไปยังโรงพยาบาลเครือข่ายระดับตติยภูมิ เพื่อทำการตรวจสอบ และรับผู้ป่วยเข้ารักษาต่อไป
ขยายผลใช้ทั่วประเทศ
ขณะนี้อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ 1 ต.ค. 2566 - 30 ก.ย.2567 มีการศึกษาวิจัยนำร่องใช้ระบบเอไอในรพ.สธ.ทั้งระดับรพ.ศูนย์ รพ.ทั่วไป จนถึงรพ.ประจำอำเภอแล้ว 48 แห่ง อาทิ รพ.ฝาง ,รพ.พุทธชินราช,รพ.ราชบุรี,รพ.เต่างอย,รพ.พยัคฆภูมิพิสัย,รพบ้านนาสารและรพ.ป่าพะยอม เป็นต้น
และในปีงบประมาณ 2568 ตั้งเป้าหมายให้มีหน่วยงานหรือสถานพยาบาลที่ใช้ระบบ เพิ่มขึ้น 50 % และมีแผนขยายครอบคลุมทั่วประเทศภายหลังได้รับการขึ้นทะเบียนจากอย.
“ปัจจุบันถือลิขสิทธิ์ร่วมกันระหว่างกรมและกูเกิล เมื่อจะเอามาใช้ในวงกว้าง จึงแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.การนำไปใช้ในรพ.ภาครัฐเป็นลิขสิทธิ์กรมการแพทย์ และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ ซึ่งกรมก็จะนำมาใช้ในรพ.โดยเฉพาะของสธ.ได้ใช้ ลดภาระแพทย์ และ2.กูเกิลมอบให้ผู้ประกอบการรายหนึ่ง นำไปต่อยอดใช้ในภาคเอกชน”นพ.สกานต์กล่าว
คลังภาพทางการแพทย์
ในการพัฒนาต่อยอดจากเอไอตัวนี้ นพ.สกานต์ กล่าวว่า กรมจะใช้การอ่านภาพจอประสาทตา เพื่อคัดกรองโรคจอประสาทตาอื่น หรือโรคต้อกระจก รวมถึง แผนจะพัฒนา “เอไอ”ให้เรียนรู้ในการคัดกรองโรคที่ไม่ใช่โรคตา ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เพื่อตรวจหาภาวะความผิดปกติอื่น ๆ จากการแปลผลภาพจอประสาทตา เช่น โรคทางหลอดเลือดสมอง และโรคไต เป็นต้น เนื่องจากภาพถ่ายจอประสาทตา สามารถแสดงให้เห็นอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย เช่น เส้นประสาท เส้นเลือด ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับโรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกาย
ทั้งนี้ การพัฒนาเอไอภาพใหญ่ของประเทศ สิ่งที่สำคัญต้องมีภาพถ่ายให้เอไอเรียนรู้ ยิ่งมีภาพความผิดปกติต่างๆยิ่งมาก สามารถสอนเอไอเรียนรู้ได้มา ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ
"กรม เนคเทคและรพ.รามาธิบดี กำลังร่วมกันทำคลังภาพทางการแพทย์ หรืออิมเมจแบงก์ ทั้งเอกซเรย์ปอด ภาพถ่ายตา และภาพถ่ายทางการแพทย์อื่นๆ ถ้าสำเร็จสามารถรองรับภาพทางการแพทย์จากแหล่งต่างๆ เพื่อให้เอไอมาเรียนรู้ สามารถพัฒนาเอไอได้อีกหลายโครงการ อย่างที่กรมมีแผนเรื่อง การใช้เอไออ่านผลมะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก”นพ.สกานต์กล่าว
สิ่งต้องระวังในการใช้เอไอ
ท้ายที่สุด นพ.สกานต์ กล่าวด้วยว่า เอไอเข้ามาในแง่ทางการแพทย์และสาธารณสุขอย่างแน่นอนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่การช่วยประเมินความเสี่ยง การให้คำแนะนำรายบุคคล จนถึง ช่วยวินิจฉัยและแนะนำแนวทางการรักษา แต่สิ่งที่ต้องระวังสูงมาก คือ ในเรื่องการช่วยวินิจฉัยและแนะนำแนวทางการรักษา เพราะมีผลกับการจัดการโรคอย่างมาก หากเป็นการแนะนำเรื่องการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค ถ้ามีความผิดพลาดก็ไม่ได้รุนแรงมาก แต่ถ้าวินิจฉัยและแนะนำการรักษาพลาด จะมีผลกระทบมาก
“คนทั่วไปอาจจะมีจำนวนมาก ที่ยังเข้าใจผิดว่า เอไอคือของวิเศษ เป็นผู้รู้ทุกอย่าง แต่ความจริงไม่ใช่ เพราะเอไอเหมือนเด็กสมองดีคนหนึ่ง โดยจะมีความรู้ที่ถูกต้องหรือผิด ขึ้นกับว่าได้รับข้อมูลอะไรเข้าไป ถ้าข้อมูลที่ใส่ไปให้เรียนรู้ผิด ก็อาจจะผิดได้ และเป็นเด็กฉลาดที่บางครั้งก็พูดจาค่อนข้างจะเนียน ดูน่าเชื่อถือ หากผู้รับข้อมูลไม่รู้เบื้องหลังและไม่ตรวจสอบ จึงไม่ได้แปลว่าเอไอทุกตัวดี หรือถูกต้องเสมอไป ดังนั้น ประชาชนต้องมีวิจารณญาณในการใช้เอไอด้วย”นพ.สกานต์กล่าวย้ำ