“ป้าอ้วน” ผู้สูงอายุที่เริ่มธุรกิจในวัย 58 ปี ผ่านมา 5 ปีตอนนี้มีกว่า 20 สาขา
“ป้าอ้วน-ฐิติรักษ์ รวีพงศ์ธราวุธ” ผู้สูงอายุที่ยังมีไฟขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เริ่มต้นธุรกิจเมื่ออายุ 58 ปี เวลาผ่านไป 5 ปีได้ร่วมบริหารกับหลานชาย คนต่าง Genกัน ทำให้ “เจปัง ไอติม ย่างเนย” จากวังหลังได้ขึ้นห้างมีกว่า 20 สาขา และเตรียมขายแฟรนไชส์
KEY
POINTS
- ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ ในปี 2566 มีจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่ม Active Agingมากกว่า 97 % ที่มีพลังในการทำสิ่งต่างๆ มีความสามารถ ศักยภาพในการดำเนินชีวิต และการทำงาน
- “ป้าอ้วน-ฐิติรักษ์ รวีพงศ์ธราวุธ” สูงวัยที่ยังมีไฟขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เริ่มต้นธุรกิจเมื่ออายุ 58 ปี จากความชอบกินไอติม จนตอนนี้ “เจปัง ไอติม ย่างเนย” จากวังหลังได้ขึ้นห้างมีกว่า 20 สาขา และเตรียมขายแฟรนไชส์
- ป้าอ้วน แม้มีคนcopy สินค้าแต่ไม่คิดจะฟ้องร้อง เพราะเชื่อว่าถ้าช่วยให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ก็เป็นสิ่งที่ดี และแนวคิดการทำงานร่วมกับคนต่าง Gen จนงานออกมากดี
เริ่มธุรกิจวัย 58 ปีจากความชอบกินไอติม
แม้ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ ในปี 2566 มีจำนวนผู้สูงอายุ กว่า 13 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นกลุ่ม Active Agingมากกว่า 97 % ที่มีพลังในการทำสิ่งต่างๆ มีความสามารถ ศักยภาพในการดำเนินชีวิต และการทำงาน
เฉกเช่น “ป้าอ้วน” ภายหลังเกษียณการทำงานในวัย 58 ปี ได้ไปร่วมโครงการสนับสนุนให้เกษตรที่จ.ชัยนาทปลูกอ้อยออแกนิกส์ไม่ใช้สารเคมี จำเป็นต้องช่วยเรื่องตลาดของเกษตรกร บวกกับช่วงนั้นน้องชายได้มอบกิจการเสื้อผ้าให้หลานชายดูแลแล้ว
จึงเกิดความคิดที่จะทำ “ไอติม” เพราะทั้งตัวเองและน้องชายชอบกิน รวมถึงได้ใช้น้ำตาลจากอ้อยออแกนิกส์ด้วย เป็นการช่วยเรื่องตลาดของเกษตรกร
“เริ่มต้นเรียนรู้ใหม่ทั้งหมด ไปสมัครเรียนทำไอติมแล้วประยุกต์มาเป็นสูตรตัวเอง เมื่อเปิดขายที่ร้านวังหลังปุ๊ปก็เจอโควิดระบาด ขายได้ไม่มาก วันละไม่ถึง 500 บาท จึงเปลี่ยนมาเป็นการทำแจกให้กับบุคลากรทางการแพทย์ ช่วง 2 ปี ทำแจกไปมากกว่า 60,000 ถ้วย ทำให้คนรู้จักมากขึ้น บอกต่อปากต่อปาก ค่อยๆมีลูกค้าเพิ่มขึ้น จำได้ว่าวันแรกที่ขายได้ 2,000 บาทดีใจสุดๆ”ป้าอ้วนเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ทำงานต่างGenได้ไอเดียแปลกใหม่
หลังจากนั้น หลานชายได้ทดลองเอาขนมปังแบบที่ทำกินกันเองในครอบครัวไปย่างเนยแล้วมากินกับไอติม ปรากฎว่าอร่อยมาก นำสูตรนี้ออกมาขายกลายมาเป็น “เจปัง ไอติม ย่างเนย” พร้อมกับการที่หลานชายเข้ามาร่วมขับเคลื่อนธุรกิจ นำการใช้สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาช่วยโปรโมทสินค้า ทำให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น
การนำลูกเล่นที่สนุกสนานเข้ามาใส่ไว้ในไอติม เช่น ข้อความหรือการ์ตูนตกแต่งบนไอติม แต่ทำจากวัสดุที่กินได้ เป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่นอกเหนือจากรสชาติไอติมที่อร่อย เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ตั้งแต่ต้นว่า “กินไอติมต้องสนุกและมีความสุข”
สำหรับป้าอ้วนที่ขณะนี้อายุ 63 ปี ซึ่งทำธุรกิจร่วมกับหลานชายที่เป็นคนต่าง Gen ภายใต้ชื่อบริษัท ครอบครัวผู้บริโภคสร้างสรรค์ จำกัด มองเรื่องนี้ว่า เราต้องตามคนรุ่นใหม่ให้ทัน บางอย่างอาจจะขัดกับความรู้สึกเราบ้างในตอนแรก ก็ต้องค่อยๆปรับเข้าหากันและกัน
“ทำงานร่วมกันของคนต่างGen ทำให้ได้ไอเดียเกิดมุมมองแปลกใหม่มากขึ้น คนรุ่นใหม่เอาสิ่งที่ทันสมัยเข้ามาบริหารจัดการ ส่วนคนแก่ก็ให้คำปรึกษาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา อาจจะมีโต้แย้ง เห็นไม่ตรงกันบ้างเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายก็ปรับสู่จุดร่วม”ป้าอ้วนกล่าว
ถูกCopy แต่ไม่คิดฟ้องร้อง
จากเจปังร้านแรกที่วังหลัง ผ่านมา 5 ปี ปัจจุบันมีกว่า 20 สาขา ที่สำคัญเป็นร้านที่ได้ขายอยู่ในห้าง อย่างเช่น สาขาเซ็นทรัล พระราม 2 ,เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ ,แฟชั่นไอร์แลนด์ ,สยามเซ็นเตอร์ ,เมกา บางนา ,ซีคอน บางแค ,เซ็นทรัล ลาดพร้าว ,สามย่านมิตรทาวน์ ,เดอะมอลล์บางกะปิ,เดอะมอลล์บางแค ,ฟิวเจอร์ปาร์ค รังสิต และเซ็นทรัลอุดร เป็นต้น มีรายได้สาขาละราว 2,000-3,000 บาทต่อวัน
แต่สิ่งที่ต้องพบเจอเมื่อสินค้าเป็นที่นิยม คือ การ Copy แต่ “ป้าอ้วน” บอกว่า ไม่เคยคิดจะฟ้องร้อง เพราะเห็นว่าเป็นช่องทางที่ช่วยให้คนไทยมีอาชีพเลี้ยงตัวเองได้ เชื่อว่าถ้าเขาสามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งตัวเอง ประเทศไทยก็จะแข็งแรงไปด้วย ขณะที่สินค้าของเราเองก็ต้องมีการพัฒนา ไม่ด้อยคุณภาพลง ใช้วัตถุดิบคุณภาพพรีเมียมเช่นเดิม
วางแผนธุรกิจขายแฟรนไชส์
“เจปัง ไอติม ย่างเนย”วางแผนธุรกิจต่อจากนี้ อาจจะมีการยุบบางสาขาที่ยอดจำหน่ายไม่ถึงเป้า แล้วเปิดใหม่ในสาขาอื่น โดยเฉพาะการขยายไปขายในต่างจังหวัด และอาจจะเปิดขายแฟรนไชส์ อยู่ระหว่างการวางแผนเพื่อให้ร้านที่วังหลังเป็นจุดกระจายสินค้า
“การตั้งเป็นบริษัท ก็มีการเสียภาษี คิด VAT 7 % ในทุกบิลล์ที่ออก เพราะต้องการที่จะทำธุรกิจแล้วให้คืนกลับกับประเทศด้วย”ป้าอ้วนกล่าว
ผู้สูงอายุไม่ต้องกลัว ก้าวออกมา
ขณะที่ประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุ “ป้าอ้วน” บอกว่า แม้อายุจะเพิ่มมากขึ้น แต่การเรียนรู้และพัฒนาตนเองเกิดได้ตลอดชีวิต ไม่จำเป็นที่อายุมากจะต้องอยู่แต่ในบ้าน จะทำให้หงอยเหงา ให้ออกมาทำสิ่งต่างๆที่ชอบนอกบ้านบ้าง และเชื่อมั่นว่า มีผู้สูงอายุจำนวนมากที่มีศักยภาพที่จะเริ่มธุรกิจของตัวเองได้ในวัยเกษียณ อยากให้ผู้สูงอายุกล้าออกมาเรียนรู้ ลองเรื่องใหม่ๆ ช่วยเปิดโลกทัศน์ ไม่อับเฉา สมองก็ไม่ฝ่อ
“ผู้สูงอายุที่จะเริ่มทำธุรกิจ ไม่ต้องกลัว ก้าวออกมา เริ่มจากทำสิ่งที่ชอบ พยายามพัฒนาปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงแรกๆอาจจะยังไม่ต้องคิดเรื่องรายได้ แต่ให้ทำแล้วตัวเองมีความสุข เสร็จแล้วนำไปแจกให้ลูกหลาน เพื่อน คนรู้จัก ค่อยๆขยับ ถ้ามีรายได้เข้ามาก็เป็นเรื่องดี แต่อย่างน้อยๆเราได้พบปะผู้คน ได้ทำสิ่งที่ชอบ สร้างความสุขให้ตัวเอง”ป้าอ้วนแนะนำ
ก่อนปิดท้ายว่า “ผู้สูงอายุมีจำนวนมากที่มีศักยภาพช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากใจรักในสิ่งใด ลองพัฒนาดู”