"อุตสาหกรรมความงาม" โต 5-15% “สารลดเลือนริ้วรอย” ครองอันดับ 1
"อุตสาหกรรมความงาม" ซึ่งมีอัตราการเติบโต 5-15% ทุกๆ ปี ขณะเดียวกัน สารลดเลือนริ้วรอย หรือ Botolinum toxin type A นับว่าได้รับความนิยมในกลุ่ม "เวชศาสตร์ความงาม" อันดับหนึ่งในไทย
สารลดเลือนริ้วรอย หรือ Botulinum toxin type A คือ สารที่สกัดจากแบคทีเรียสายพันธุ์เฉพาะ ตัวสารอยู่ในรูปโปรตีนที่มีคุณสมบัติพิเศษคือ สามารถจับกับปลายเส้นประสาทที่มาควบคุมกล้ามเนื้อ แล้วไปยับยั้งการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เลี้ยงโดยเส้นประสาทบริเวณนั้น ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ได้รับ Botolinum toxin type A หดตัวไม่ได้และอยู่ในสภาพคลายตัวในที่สุด
ทั้งนี้ "สารลดเลือนริ้วรอย" ถือว่าได้รับความนิยมอันดับ 1 ในกลุ่ม “เวชศาสตร์ความงาม” (Aesthetic Medicine) รองลงมา คือ ฟิลเลอร์ , กลุ่มที่ใช้พลังงาน เช่น อัลเธอร่า (Ulthera) เน้นผิวหนังให้ตึง และ สุดท้าย คือ ร้อยไหม
อุตสาหกรรมความงาม โต 5-15%
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 65 “กสิกิจ พ่วงภิญโญ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเทค ฟาร์มา จำกัด ในฐานะผู้นำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์จากทั่วโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ เอสทอกซ์ (Aestox) กล่าวในงานสัมภาษณ์พิเศษ “เทรนด์นวัตกรรมย้อนวัย (Reverse Aging) ด้วยเทคนิคใหม่จากเกาหลีถึงไทยด้วยสารลดเลือนริ้วรอย และข้อควรระวังในการเลือกใช้” ณ โรงแรมโรสวู้ด โดยระบุว่า อุตสาหกรรมความงาม มีการเติบโต 5-15 % ในทุก ๆ ปี ขณะเดียวกัน ปัจจุบัน ความนิยมการใช้ “สารลดเลือนริ้วรอย” หรือ Botolinum toxin type A เพื่อความงามในประเทศไทย มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 20% ในทุกปี ถึงแม้เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม
และยังมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่ที่เปิดใจรับการเข้าคลินิกความงามเพิ่มมากขึ้น การเสริมความงามด้วยสารลดเลือนริ้วรอย ถือเป็นนวัตกรรมการลดเลือนริ้วรอยที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีการพัฒนาเทคนิค เทคโนโลยี และเทรนด์มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การใช้สารลดเลือนริ้วรอยนั้น ต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และด้วยผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
“ในปี 2020 – 2021 ที่ผ่านมา บ. เอสเทค ฟาร์มา จำกัด ซึ่งมีการเติบโตเกิน 100% คิดเป็นสัดส่วนตลาดสารลดเลือนริ้วรอย (Botolinum toxin type A) ประมาณ 45-55 % ดังนั้น หากสถานการณ์กลับมาปกติ คาดว่าบริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตของปี 2021 – 2022 เกิน 100% หรืออย่างน้อยเติบโต 20% ในทุกๆ ปี”
อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา ซึ่งมีการปิด คลินิกเสริมความงาม ทำให้การใช้บริการจาก 100% ก่อนโควิด เหลือเพียง 40% แต่ในขณะนี้ หลังผ่านวิกฤติโควิด-19 ตั้งแต่ช่วง ก.พ.ที่ผ่านมา ลูกค้าเริ่มกลับมาราว 70-80% เพราะคนต้องการดูแลตัวเอง และคาดว่ากลับมา 100% ในปีหน้า เนื่องจากปัจจัยทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ระวังยาหิ้ว และยาปลอม
สำหรับ “สารลดเลือนริ้วรอย” จะแบ่งเป็นแต่ละสัญชาติ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ที่เป็นออริจินัล เป็นจุดเริ่มต้นของสารลดเลือนริ้วรอย นอกจากนั้นแล้ว ยังมีในฝั่งของยุโรป อังกฤษ และเกาหลีใต้ ซึ่งสิ่งที่ต้องดู คือ ผ่านการรับรองจาก อย.ไทย หรือไม่ รวมถึงได้รับมาตรฐานจากยุโรปหรือไม่
กสิกิจ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีคลินิกความงามเปิดใหม่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และเนื่องจากสารลดเลือนริ้วรอย เป็นยาเย็นต้องได้รับการควบคุมอุณหภูมิ 2-8 องศาก่อนนำมาใช้ ดังนั้น การนำเข้าต้องรักษาคุณภาพการขนส่ง แนะนำว่า ผู้บริโภคต้องเลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และใช้ยาได้มาตรฐานเชื่อถือ และตรวจสอบได้
“สิ่งแรกที่อยากให้สังเกต คือ แพทย์ใช้ยาที่เป็นของแท้หรือไม่ ตั้งแต่การเปิดขวด การผสมยา และเพื่อความมั่นใจอยากให้ดูเอกสารกำกับข้อบ่งชี้การใช้และได้รับการรับรองหรือไม่ เช่น เอสทอกซ์ (Aestox) สามารถตรวจสอบของแท้ได้จากการ แสกน QR code ข้างกล่องทุกกล่องเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้บริโภคทุกคน เพราะถ้าหากว่าคนไข้ได้รับตัวยาที่ไม่ได้มาตรฐาน จะเกิดผลข้างเคียงหลายอย่างตามมาได้”
ด้าน “รศ.นพ.ธันวา ตันสถิต” ผู้ก่อตั้ง และอดีตผู้อำนวยการ ศูนย์ฝึกผ่าตัด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม อธิบายเพิ่มเติมว่า การใช้สารลดเลือนริ้วรอย ที่ไม่ได้คุณภาพ อาจเจอสารปนเปื้อนที่อยู่ภายใน เพราะไม่ได้ควบคุมคุณภาพ ทำให้เป็นพิษระยะยาว กระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้หลายอย่าง รวมทั้งผื่นผิวหนัง
ขณะเดียวกัน อาจจะไม่ได้รักษาความสะอาด เมื่อฉีดแล้วอาจทำให้เกิดตุ่มหนอง คุณภาพยาที่หิ้วเข้ามา นอกจากไม่ผ่านการควบคุมคุณภาพระหว่างขนส่งแล้ว ความแกว่งทำให้คาดเดาไม่ได้ บางทีอาจจะฉีดเยอะเกินไปโดยที่ไม่รู้ ดังนั้น หากใช้ของที่มีมาตรฐานจะมีความปลอดภัยระยะยาว และหวังผลได้ดี
สารลดเลือนริ้วรอย ยอดนิยมอันดับ 1
รศ.นพ.ธันวา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดในไทยหัตถการทั้งหมด “สารลดเลือนริ้วรอย” ถือว่าได้รับความนิยม อันดับหนึ่ง ถัดมา คือ ฟิลเลอร์ และกลุ่มที่ใช้พลังงาน ได้แก่ เทอร์มาจ (Thermage) อัลเธอร่า (Ulthera) ซึ่งราคาค่อนข้างสูง และสุดท้าย คือ ร้อยไหม
ขณะเดียวกัน หลายคนยังสับสนระหว่าง เวชศาสตร์ความงาม และ เวชศาสตร์ชะลอวัย รศ.นพ.ธันวา อธิบายว่า “เวชศาสตร์ความงาม” (Aesthetic Medicine) เน้นการรักษาโดยตรง และเป็นหัตถการส่วนใหญ่ โดยหลักๆ มี 4 กลุ่ม คือ สารลดเลือนริ้วรอย BOTULINUM TOXIN TYPE A , ฟิลเลอร์ , ร้อยไหม และกลุ่มใช้พลังงานเน้นที่ผิวหนังให้ตึง รวมถึง การศัลยกรรม ก็จะรวมอยู่ในกลุ่มนี้ โดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ความงาม ให้การรักษาโดยตรง เพื่อให้ดูเด็กลง กระตุ้นคอลลาเจน ให้รอยย่นหายไป ซึ่งการเลือกขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าเหมาะกับหัตถการรูปแบบไหน
ในส่วนของ “เวชศาสตร์ชะลอวัย” (Anti-Aging) จะชะลอวัยให้ช้าลง จะไม่ทำหัตถการ แต่เน้นรับประทานยา อาหารเสริม ดีท็อกซ์ หรือ IV Drip หรือการดริปวิตามิน เป็นหลัก
“เวชศาสตร์ความงาม แต่ก่อนเราดูแลแค่ผู้สูงอายุที่ต้องการย้อนวัย (Reverse Aging) แต่ปัจจุบัน เริ่มมาดูแลในการป้องกัน คนไข้ส่วนใหญ่อายุน้อยลง วัยรุ่นเข้าใจเรื่องการปรับรูปหน้า โดยเฉพาะก่อนเข้าทำงาน นิยมปรับรูปหน้าเพื่อสมัครงาน ขณะเดียวกัน ผู้ชายเริ่มสนใจมากขึ้นเช่นกัน”
ตลาดความงามไทย ศักยภาพสูง
ด้าน “นายแพทย์ฮง จิน มุน” หัวหน้าคณะแพทย์ และรองประธาน บริษัท ฮูเจล อิงค์ จำกัด ในฐานะบริษัทยาชั้นนำจากเกาหลีใต้ ซึ่งได้ทำความร่วมมือทางวิชาการและความร่วมมือในการดำเนินธุรกิจกับ บริษัท เอสเทค ฟาร์มา จำกัด มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพสูงทั้งในแง่ของเป็นแหล่งบุคลากรที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญ และเทรนด์การเติบโตของธุรกิจความงาม เกาหลีใต้และไทยมีความเหมือนกัน คือ เป็นที่ที่ทุกคนนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ เมื่อคิดจะเสริมความงาม แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การใช้นวัตกรรมและเทคนิคใหม่ ๆ ให้เหมาะสมกับลักษณะของชาวเอเชีย และแน่นอนว่ามีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงที่ได้มาตรฐานสากล