ทำไมไอศกรีม ‘ดาร์กช็อกโกแลต’ ช่วยลดอาการ ‘ทอนซิลอักเสบ’ ได้

ทำไมไอศกรีม ‘ดาร์กช็อกโกแลต’ ช่วยลดอาการ ‘ทอนซิลอักเสบ’ ได้

ความเชื่อที่ว่าเมื่อมีอาการ “ทอนซิลอักเสบ” แล้วต้องงดเครื่องดื่มเย็นๆ ไอศกรีม หรือของหวาน อาจไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะความจริงแล้วไอศกรีม “ดาร์กช็อกโกแลต” ช่วยลดอาการบวมอักเสบได้ รวมถึงช่วยเรื่องการไหลเวียนของโลหิตได้ด้วย

Key Points:

  • การดื่มน้ำอุ่นแล้วจะช่วยบรรเทาอาการทอนซิลอักเสบนั้น แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิดและจะยิ่งทำให้มีอาการอักเสบมากขึ้น
  • ไอศกรีมช็อกโกแลต เป็นหนึ่งในตัวช่วยราคาประหยัดที่จะช่วยบรรเทาอาการทอนซิลอักเสบได้
  • สารฟลาโวนอยด์ในไอศกรีมช็อกโกแลตมีส่วนสำคัญในการช่วยลดอาการอักเสบได้ นอกจากไอศกรีมแล้ว ขนม หรือ เครื่องดื่มช็อกโกแลตเย็นก็ช่วยได้เช่นกัน

ทอนซิลอักเสบ นั้นมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า เมื่อมีอาการป่วยแล้วควรงดของเย็นหรือของหวาน และดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อให้อาการบวมอักเสบบรรเทาลง  แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรับประทาน “ไอศกรีม” หรือเครื่องดื่มเย็นๆ นั้น สามารถลดอาการอักเสบลงได้ แต่ในทางกลับกันน้ำอุ่นกลับเป็นตัวการทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น?!

ขั้นแรกต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “ต่อมทอนซิล” พบได้หลายตำแหน่งในร่างกาย แต่ตำแหน่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุดจะอยู่ที่บริเวณด้านข้างของช่องปากซ้าย และขวา เรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (Palatine tonsil) นอกจากนี้ยังสามารถพบได้บริเวณโคนลิ้น และช่องหลังโพรงจมูก

ต่อมทอนซิลมีหน้าที่ดักจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหาร รวมถึงมีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ โดยต่อมทอนซิลจัดอยู่ในกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทน้ำเหลือง ซึ่งภายในมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด

สำหรับปัจจัยที่ทำให้เกิด “ทอนซิลอักเสบ” หรือ Tonsillitis นั้น มาจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย จนเกิดการอักเสบของคู่ต่อมทอนซิลซ้ายและขวา ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บคอ บวมแดง กดแล้วเจ็บ กลืนอะไรลงคอได้ลำบาก เสียงเปลี่ยน หายใจลำบาก มีไข้ ปวดหัว ปวดตัว เป็นต้น และหากใครมีอาการรุนแรงจะมีอาการอยู่นานกว่า 48 ชั่วโมง เลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้วการรักษาอาการทอนซิลอักเสบนั้นจะใช้ยาปฏิชีวนะ แต่รู้หรือไม่การกินไอศกรีมโดยเฉพาะไอศกรีมดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยบรรเทาอาการได้

  • ทำไมเวลาทอนซิลอักเสบจึงต้องกินไอศกรีม ?

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าไอศกรีมเป็นหนึ่งในทางเลือกสุดประหยัดในการบรรเทาอาการทอนซิลอักเสบ นอกจากนี้การดื่มน้ำเย็น เครื่องดื่มเย็น หรือการอมก้อนน้ำเเข็ง ก็สามารถช่วยบรรเทาอาการบวม และอาการอักเสบของทอนซิลได้เช่นกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรับประทานไอศกรีมอะไรก็ได้ ถ้าจะให้ได้ผลมากที่สุดควรเป็น “ไอศกรีมดาร์กช็อกโกแลต” หรือ ช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate) ที่มีช็อกโกแลตเข้มข้น 70% ขึ้นไป และมีนม น้ำตาล ผสมอยู่ในปริมาณน้อยกว่าช็อกโกแลตทั่วไป

สิ่งสำคัญที่ทำให้ไอศกรีมดาร์กช็อกโกแลต เป็นหนึ่งในตัวช่วยลดอาการทอนซิลอักเสบนั้น ก็เพราะว่า ในโกโก้ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของดาร์กช็อกโกแลตมี “สารฟลาโวนอยด์” ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ลดอาการอักเสบได้นั่นเอง โดยสารดังกล่าวนั้นจะมีปริมาณสูงตามความเข้มข้นของช็อกโกแลต ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดาร์กช็อกโกแลตจึงสามารถบรรเทาอาการอักเสบได้ในเบื้องต้น และไม่ใช่แค่ไอศกรีมเท่านั้น แต่ในเครื่องดื่มหรือขนมที่ทำมาจากดาร์กช็อกโกแลต เช่น โกโก้เย็น โกโก้ปั่น ช็อกโกแลตแท่ง ก็มีสารฟลาโวนอยด์อยู่เช่นเดียวกัน

แม้ว่าดาร์กช็อกโกแลตจะช่วยให้อาการทอนซิลอักเสบดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความมันเหมาะสำหรับทุกคน เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถรับประทานช็อกโกแลตที่มีความเข้มข้นสูงขนาดนั้นได้ เนื่องจากเป็นอาหารที่มี “คาเฟอีน”  จึงควรให้เด็กใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น

  • ไม่ใช่แค่ช่วยลดอาการทอนซิลอักเสบ แต่ดาร์กช็อกโกแลตยังมีประโยชน์อีกมาก!

นอกจากสารฟลาโวนอยด์ในดาร์กช็อกโกแลต จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้แล้ว ยังช่วยในเรื่องของการยึดเกาะโมเลกุลที่ทำให้เกิดคราบจุลินทรีย์ในหลอดเลือดแดง จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจเนื่องจากการแข็งตัวของหลอดเลือดได้อีกด้วย

นอกจากนี้การรับประทานดาร์กช็อกโกแลตยังช่วยให้สมองตื่นตัว รู้สึกสดชื่น โดยเฉพาะด้านความจำ ความคิด การตัดสินใจ การรับรู้ การเรียนรู้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีส่วนป้องกันผิวจากแสงแดด และเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังเซลล์ผิวหนังได้อีกด้วย

แม้ว่าดาร์กช็อกโกแลตและโกโก้จะมีสรรพคุณมากมาย แต่ถ้าต้องการได้รับประโยชน์สูงสุด ก็ต้องบริโภคอย่างสม่ำเสมอหมายความว่า หากต้องการให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากสารฟลาโวนอยด์อย่างเต็มที่จะต้องดื่มโกโก้วันละ 1 แก้ว ติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป 

นอกจากนี้การดูแลตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น

 

อ้างอิงข้อมูล : TaradHealth, Le Soidao, ,มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์, true ปลูกปัญญา และ รพ. เพชรเวช