"ปากนกกระจอก" โรคที่ไม่ใช่เพียงขาดวิตามิน
“แผลที่มุมปาก หรือ โรคปากนกกระจอก” ซึ่งมักจะมีอาการเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ตามตำรามักระบุถึงสาเหตุว่าเกิดจากขาดวิตามินบี 2 (riboflavin) แต่จริงๆ แล้ว “โรคปากนกกระจอก” ไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินเพียงอย่างเดียว อาจะเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ร่วมด้วย
KEY
POINTS
- โรคปากนกกระจอก หรือ Angular Cheilitis เป็นภาวะที่มีการอักเสบของริมฝีปาก มักเกิดบริเวณมุมปากและขอบริมฝีปาก
- สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กและผู้สูงวัย ในเด็กอาจเกิดจากการดูดนิ้ว จุกนมหลอก ในผู้สูงวัยอาจมีสาเหตุมาจากการใส่ฟันปลอมหรือมุมปากตก
- วิธีง่ายๆ ป้องกันโรคปากนกกระจอก ได้แก่ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่และดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว ดูแลให้ริมฝีปากชุ่มชื้นอยู่เสมอไม่สูบบุหรี่ และไม่ใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ
“แผลที่มุมปาก หรือ โรคปากนกกระจอก” ซึ่งมักจะมีอาการเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ตามตำรามักระบุถึงสาเหตุว่าเกิดจากขาดวิตามินบี 2 (riboflavin) แต่จริงๆ แล้ว “โรคปากนกกระจอก” ไม่ได้เกิดจากการขาดวิตามินเพียงอย่างเดียว อาจะเกิดจากการติดเชื้ออื่นๆ ร่วมด้วย
เช่น เริม หรือภาวะอักเสบที่เกิดขึ้นบริเวณมุมปาก โดยจะเกิดอาการเจ็บปาก ปากแห้งและแตก เป็นแผล อาจมีรอยแดง บวม และตึงที่มุมปากข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ผู้ป่วยอาจจะเกิดอาการของโรคนี้เพียง 2-3 วัน หรือนานกว่านั้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อาการแบบไหน? เรียกปากนกกระจอก
พญ.อาสาฬห์ ประภาธรรม แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน จากแอปฯ หมอดี กล่าวว่าโรคปากนกกระจอก หรือ Angular Cheilitis เป็นภาวะที่มีการอักเสบของริมฝีปาก มักเกิดบริเวณมุมปากและขอบริมฝีปาก
อาการของโรคปากนกกระจอก
- เจ็บ คัน มีแผลเปื่อยที่มุมปาก อาจเป็นข้างเดียว หรือทั้งสองข้างก็ได้
- มุมปากมีรอยแดง บวม ตึง
- มุมปากมีตุ่มพอง สะเก็ดแผล หรือมีเลือดออก
- ปากแห้ง ลอก ตึงมาก
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เป็นโรคปากนกกระจอก
1. ติดเชื้อที่ปาก : บริเวณปาก หรือช่องปากติดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียแล้วลุกลามไปที่มุมปาก ทำให้เกิดแผลอักเสบของโรคปากนกกระจอกขึ้นมาได้
2. การระคายเคืองจากน้ำลาย : พบได้บ่อยในคนที่ปากแห้งและชอบเลียริมฝีปาก น้ำลายทำให้เกิดการระคายเคือง เกิดการอักเสบและอาจติดเชื้อตามมาได้
3. การแพ้ : เมื่อริมฝีปากสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น ลิปสติก ยาสีฟัน ก็ทำให้ริมฝีปากระคายเคืองและอักเสบได้ หรือบางรายอาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ผิวหนัง
4. ขาดสารอาหาร : โดยเฉพาะวิตามิน B2 และธาตุเหล็ก
5. จัดฟัน หรือใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี ปัญหาฟันไม่สบกัน : ทำให้น้ำลายล้นออกมาที่มุมปากบ่อย ๆ หรือมีการเสียดสีกับอุปกรณ์ จนเสี่ยงเกิดโรคปากนกกระจอกได้เช่นกัน
6. ปัญหาสุขภาพ โรคประจำตัว : โรคบางอย่าง อาจทำให้เป็นโรคปากนกกระจอกได้ง่ายขึ้น เช่น โรคโลหิตจาง มะเร็งบางชนิด โรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
7. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด : เช่น การกินยารักษาสิวกลุ่มกรดวิตามินเอ
ใครมักที่จะเป็นโรคปากนกกระจอก
พญ. ประภาพร พิมพ์พิไล อายุรแพทย์ โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าวว่าโรคปากนกกระจอกเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบบ่อยในเด็กและผู้สูงวัย ในเด็กอาจเกิดจากการดูดนิ้ว จุกนมหลอก ในผู้สูงวัยอาจมีสาเหตุมาจากการใส่ฟันปลอมหรือมุมปากตก
พฤติกรรมการใช้ชีวิต ส่งผลให้เกิดโรคปากนกกระจอกได้เช่นเดียวกัน อาทิ
- นอนน้ำลายไหล
- การดูดนิ้วหรือดูดจุกนมหลอก
- การสวมหน้ากากอนามัย
- การสูบบุหรี่
- ความเครียด
ปัจจัยเสี่ยงของโรคปากนกกระจอกมีอะไรบ้าง
- โรคเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคเบาหวาน
- ดาวน์ซินโดรม ซึ่งทำให้ผิวแห้ง
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น HIV
- การขาดวิตามินบี ธาตุเหล็ก หรือโปรตีน
- น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
- ผิวหน้าหย่อนคล้อยเนื่องจากอายุที่มากขึ้น
โรคปากนกกระจอกมีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
อายุรแพทย์หรือแพทย์ผิวหนังจะซักประวัติ สอบถามอาการ และตรวจร่างกาย จากนั้นแพทย์อาจเก็บตัวอย่างแผลที่มุมปากไปตรวจดูว่ามีสาเหตุมาจากโรคเริมหรือเชื้อราหรือไม่ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อดูว่าโรคปากนกกระจอกมีสาเหตุมาจากการขาดสารอาหารหรือโรคอื่น ๆ หรือไม่
รักษาโรคปากนกกระจอกได้อย่างไร?
- ยาปฏิชีวนะ เช่น ยารับประทานหรือยาทาเฉพาะที่สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การแก้ไขทันตอุปกรณ์ เช่น ฟันปลอมและอุปกรณ์จัดฟัน เพื่อให้สบฟันได้ดีขึ้น ลดการหมักหมมของน้ำลายบริเวณมุมปาก
- การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน ธาตุเหล็ก และวิตามินบี
- การทาครีมต้านเชื้อราหรือยาสเตียรอยด์ชนิดใช้ภายนอกเพื่อบรรเทาอาการปวดบวมที่มุมปาก และทาลิปมันหรือปิโตรเลียมเจลลี่เพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น
ทั้งนี้ระหว่างการรักษา ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้โดยประคบอุ่นหรือเย็นที่มุมปาก ไม่ใช้น้ำยาบ้วนหรือรับประทานอาหารรสเผ็ดที่อาจทำให้มุมปากระคายเคืองมากยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดจ้าหรือที่ที่มีอากาศหนาวจัดที่อาจส่งผลให้ผิวแห้งแตกมากยิ่งขึ้น
วิธีง่ายๆ ป้องกันโรคปากนกกระจอก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคือง
- รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่และดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว
- ดูแลให้ริมฝีปากชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ไม่สูบบุหรี่
- ไม่เลียริมฝีปาก
- ไม่ใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ
- เช็ดน้ำลายที่มุมปากให้แห้งอยู่เสมอ
- ดูแลช่องปากและฟันทดแทนให้สะอาด
- กินอาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี 2 เช่น ปลา ตับ ถั่ว ผักใบเขียว ฯลฯ และธาตุเหล็ก เช่น ตับ เนื้อแดง ใบกระเพรา ธัญพืช ถั่วต่าง ๆ ฯลฯ
ทำไมผู้ป่วยเบาหวานถึงเป็นโรคปากนกกระจอกบ่อย ๆ
ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อราแคนดิดาในช่องปาก เนื่องจากมีปริมาณน้ำตาลในเลือดซึ่งเป็นแหล่งอาหารของเชื้อราแคนดิดาในระดับที่สูง อีกทั้งภูมิคุ้มกันโรคของผู้ป่วยมักอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น การรับประทานอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน การออกกำลังกาย และการได้รับอินซูลินอย่างเหมาะสม จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคปากนกกระจอกได้
นอกจากโรคปากนกกระจอกแล้ว โรคอะไรที่อาจเป็นสาเหตุของอาการมุมปากแห้ง
- ผื่นแอกทินิกเคอราโทซิส หรือผื่นผิวหนังเป็นสะเก็ด ซึ่งเป็นโรคก่อนมะเร็ง
- เชื้อไวรัส Herpes simplex virus type 1 (HSV-1) สาเหตุของเริมที่ปาก
- รอยโรคสีขาว (Leukoplakia) ในปาก ซึ่งอาจกลายเป็นมะเร็ง
- มะเร็งช่องปาก
- ภาวะไลเคนอยด์ในช่องปาก เป็นกลุ่มโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง
- โรคซิฟิลิส
กรณีมีอาการผิดปกติ รู้สึกไม่สบาย หรือเจ็บปวดมาก ๆ แนะนำให้พบหมอฟันนะครับ
อ้างอิง: โรงพยาบาลเมดพาร์ค ,กรมอนามัย ,mordeeapp