รู้จัก'โรคโมยาโมยา' พูดไม่รู้เรื่อง กล้ามเนื้ออ่อนแรง
"โรคโมยาโมยา (Moya-Moya disease)" คือ หนึ่งในโรคหลอดเลือด สมอง เกิดจากการตีบของหลอดเลือดแดง Carotid ทั้งสองข้าง ทำให้เลือดไปเลี้ยง สมองได้ไม่เพียงพอ
KEY
POINTS
- "โรคโมยาโมยา" เป็นโรคทางระบบประสาทที่หลายคนไม่รู้จัก ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงที่ผิดปกติไปจากเดิม คือพูดไม่รู้เรื่อง แขนขาอ่อนแรง
- สามารถพบได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ โดยในเด็กพบมากที่สุดในช่วงประถมต้น ส่วนผู้ใหญ่มักมีอาการในช่วงอายุ 40 ถึง 50 ปี และพบมากใน ประชากรทวีปเอเชียมากกว่าฝั่งตะวันตก
- การรักษาที่มีประสิทธิภาพ คือ การผ่าตัดเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น เราไม่สามารถแก้ไขบริเวณที่เส้นเลือดสมองใหญ่ตีบตันได้ แต่ผ่าตัดทำทางให้มีเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพิ่มมากขึ้น
"โรคโมยาโมยา (Moya-Moya disease)" คือ หนึ่งในโรคของหลอดเลือด สมอง เกิดจากการตีบของหลอดเลือดแดง Carotid ทั้งสองข้าง ทำให้เลือดไปเลี้ยง สมองได้ไม่เพียงพอ สมองจึงเกิดการปรับตัวและสร้างหลอดเลือดแดงขึ้นมาใหม่ เพื่อช่วยเลี้ยงสมอง เนื่องจากหลอดเลือดที่สร้างใหม่มีขนาดเล็กเป็น ฝอย และเปราะบางคล้ายกับกลุ่มควัน จึงเป็นที่มาของชื่อโรค โมยาโมยา (ภาษาญี่ปุ่น แปลว่า กลุ่มควัน)
โรคดังกล่าว สามารถพบได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ ในเด็กพบมากที่สุดในช่วง ประถมต้น ส่วนผู้ใหญ่มักมีอาการในช่วงอายุ 40 ถึง 50 ปี โรคโมยาโมยาพบมากใน ประชากรทวีปเอเชียมากกว่าฝั่งตะวันตก และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า ในประเทศญี่ปุ่นพบได้ 1 ใน 200,000 ราย
โรคโมยาโมยา อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ และสัมพันธ์กับบางโรค เช่น โรคทางพันธุกรรม กลุ่มอาการดาวน์ โรคไทรอยด์ การฉายแสงบริเวณศีรษะ และโรคท้าวแสนปม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทำความรู้จักกับโรคโมยาโมยา
ผศ. พญ.ลัลลิยา ธรรมประทานกุล สาขาวิชาประสาทวิทยา ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าโรคโมยาโมยา เป็นโรคทางระบบประสาทที่หลายคนไม่รู้จัก ทั้งยังมีการเข้าใจผิดในคนบางกลุ่ม คิดว่าเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงที่ผิดปกติไปจากเดิม คือพูดไม่รู้เรื่อง แขนขาอ่อนแรง แต่โรคดังกล่าวสามารถอธิบายทางการแพทย์ได้ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติในเส้นเลือดสมอง ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จึงแสดงอาการผิดปกติให้เห็น
โรคโมยาโมยา เป็นโรคที่พบไม่บ่อย เกิดจากเส้นเลือดใหญ่ที่เลี้ยงสมองส่วนด้านหน้าและด้านข้างทั้งสองข้างเกิดการตีบตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ไม่เพียงพอ ร่างกายมีการปรับตัวสร้างเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ไปเลี้ยงสมองแทน เส้นเลือดฝอยดังกล่าวดูเหมือนกลุ่มควันจากการเอ็กซเรย์หลอดเลือดสมอง และเป็นโรคที่รายงานครั้งแรกรวมถึงพบบ่อยในชาวญี่ปุ่น จึงเรียกโรคนี้ว่าโมยาโมยา ซึ่งแปลว่า”กลุ่มควัน”ในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง
เช็กอาการของโรคโมยาโมยา
อาการโรคโมยาโมยา ส่วนใหญ่เป็นอาการของสมองขาดเลือด สมองทั้งส่วนด้านหน้าและด้านข้างเกี่ยวข้องกับการทำงานหลายอย่าง ผู้ป่วยจึงมีอาการได้หลายหลาย และอาการอาจจะเกิดเป็นพักๆ โดยเฉพาะเวลาที่มีการหายใจแรงๆ เช่น หอบเหนื่อยจากการออกกำลัง เป็นต้น อาการที่พบได้แก่
- สมองขาดเลือดชั่วคราว ยังไม่ถึงกับสมองตาย ทำให้มีอาการต่าง ๆ อยู่ชั่วขณะ เช่น ชา แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด มึนงง เป็นต้น สามารถกลับคืนเป็นปกติได้ในเวลาไม่เกินหนึ่งวัน
- สมองขาดเลือดรุนแรงจนเกิดภาวะสมองตาย เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาจมีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก พูดไม่ได้ บางรายหากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอนาน ๆ อาจมีอาการปวดหัว การเรียนและความจำแย่ลง พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
- ปวดหัวรุนแรงจากมีเลือดออกในสมอง
- อาการชัก
วิธีสังเกตโรคโมยาโมยา
โรคโมยาโมยามีอาการแสดงหลายอย่าง บางอาการอาจคล้ายคลึงกับโรคอื่น เช่น แขนขาอ่อนแรงที่คล้ายกับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต วิธีการสังเกตว่าเป็นโรคโมยาโมยาหรือไม่ ต้องดูจุดเด่นของโรคคืออาการอาจเกิดขึ้นกับสมองทั้งสองข้าง โดยอาจแสดงอาการไม่พร้อมกัน เช่น แขนขาซีกซ้ายอ่อนแรงบ้าง แข่นขาซึกขวาอ่อนแรงบ้างสลับกันไปมา อย่างไรก็ตามต้องยืนยันด้วยการตรวจเอกซเรย์ดูเส้นเลือดสมอง
- สาเหตุของโรคโมยาโมยา
โรคโมยาโมยาพบบ่อยในชาวญี่ปุ่น เกาหลี ในประเทศไทยพบได้ไม่บ่อย ส่วนใหญ่ไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยบางกลุ่มจะมีความเสี่ยงของโรคโมยาโมยาสูงกว่าคนทั่วไป ได้แก่ คนที่มีโรคทางความผิดปกติของพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม ท้าวแสนปม ธาลัสซีเมีย หรือในคนที่เคยรับการฉายแสงที่สมอง เป็นต้น
แนวทางการรักษาโรคโมยาโมยา
การรักษาโรค “โมยา โมยา” การรักษาโรคโมยาโมยา ได้แก่ การรักษาตามอาการ การควบคุมอาการชัก และการเพิ่มเลือดเพื่อไปเลี้ยงสมอง ซึ่งประกอบด้วย การรักษาด้วยยา และการผ่าตัดต่อหลอดเลือดสมอง การเลือกวิธีการรักษา แพทย์ผู้ดูแลจะประเมินอาการของผู้ป่วย และพิจารณาข้อดีข้อเสีย ของแต่ละวิธีให้ผู้ป่วยแต่ละรายอย่างเหมาะสม
การรักษาที่มีประสิทธิภาพ คือ การผ่าตัดเพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น เราไม่สามารถแก้ไขบริเวณที่เส้นเลือดสมองใหญ่ตีบตันได้ แต่เราสามารถผ่าตัดทำทางให้มีเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองได้เพิ่มมากขึ้น และเพียงพอกับที่สมองต้องการ จึงช่วยป้องกันการเกิดอาการต่างๆที่สำคัญได้แก่ อ่อนแรงเป็นๆหายๆ ปวดศีรษะ เป็นต้น ร่วมกับการรับประทานยากลุ่มแอสไพริน การรักษาดังกล่าวจะช่วยลดการเกิดภาวะสมองขาดเลือด และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
อ้างอิง: RAMA CHANNEL , หมอชวนรู้