Just One Thing คำแนะนำเรื่องสุขภาพของ "ไมเคิล มอสลีย์"

Just One Thing คำแนะนำเรื่องสุขภาพของ "ไมเคิล มอสลีย์"

เมื่อปีที่แล้วผมเคยถูกถามว่า หากให้เลือกจะเลือกอ่านหนังสืออะไร ผมตอบว่าหนังสือ Just One Thing ซึ่งให้คำแนะนำเรื่องสุขภาพของ ดร.ไมเคิล มอสลีย์ (Dr.Michael Mosley)  

จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างยิ่งเมื่อ ดร.มอสลีย์เสียชีวิตไปแล้วในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ระหว่างการพักร้อนที่เกาะ Symi ประเทศกรีก จากโลกเพลียแดด (heat exhaustion) ตอนประมาณ 4 โมงเย็น ซึ่งในช่วงนั้น อุณหภูมิน่าจะ 35-36 องศาเซลเซียส ดร.มอสลีย์อายุ 67 ปีเกิดปีเดียวกับผม แต่ช้าหลังผมเพียง 2 เดือน

ดร.มอสลีย์เรียนจบแพทย์แต่ไปทำงานเป็นผู้ผลิตรายการโทรทัศน์ของ BBC ตั้งแต่ปี 2528 โดยเป็นผู้กำกับและผลิตรายการ แต่ต่อมาดำเนินรายการเองตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งเป็นคนที่ผมชอบและติดตามผลงานมาโดยตลอด

และผลงานที่โดดเด่นเรื่องหนึ่งคือ รายการ Horizon เมื่อปี 2555 ซึ่งได้เอาตัวเองเป็น “หนูทดลอง” โดยกินอาหารแบบ IF Intermittent Fasting คือ งดการกินอาหาร 2 วันต่อ 1 สัปดาห์

และพบว่า การอดอาหารดังกล่าวทำให้สุขภาพดีขึ้น (น้ำหนักตัวลดลง ไขมันดีเพิ่มขึ้น ไขมันไม่ดีลดลง ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ฯลฯ) จึงเป็นที่มาของการทำให้การกินอาหารแบบ “IF” เป็นที่นิยมแพร่หลายอย่างมากเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

ต่อมา ดร.มอสลีย์ เขียนหนังสือ The Fast 800 ซึ่งเป็นตำราแนะนำการจำกัดการกินอาหาร ทำให้สามารถลดน้ำหนักตัวลงประมาณ 6 กิโลกรัมภายใน 21 วัน โดยเริ่มจากการจำกัดการกินอาหารเพียง 800 แคลอรี่ต่อวัน

Just One Thing คำแนะนำเรื่องสุขภาพของ \"ไมเคิล มอสลีย์\"

และในขั้นสุดท้ายคือ การกินอาหารประเภทเมดิเตอร์เรเนียน แต่นักวิชาการบางคนตำหนิว่า การจำกัดการกินดังกล่าวว่า เป็นการกินแบบคีโต (ละเว้นการกินแป้งและน้ำตาล) ผสมผสานกับอดอาหารแบบ IF ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับคนทั่วไป และปฏิบัติอย่างต่อเนื่องได้ยากเกินไป

ดร.มอสลี่ย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ในชีวิตประจำวันนั้นจะตื่นนอนตอน 7.00 น. แล้วออกกำลังกาย 1 ชั่วโมง ก่อนการกินอาหารเช้าตอน 8.00 น. โดยจะเป็นการกินไข่และผักดอง เช่น กิมจิและปลากระป๋อง ตามด้วยการดื่มน้ำและชา อาหารกลางวันจะเป็นถั่วเลนทัล (lentil) ต้องเป็นซุปผสมขมิ้นและอาหารประเภทถั่ว เป็นต้น

มื้อเย็นก็จะเป็นปลาทอดด้วยหม้อทอดไร้น้ำมันกับข้าวกล้อง ผักและผลไม้ โดยจะไม่กินอาหารหลัง 20.00 น. แปลว่าในช่วง 24 ชั่วโมงจะอดอาหาร 12 ชั่วโมง

รายการล่าสุดที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ podcast ตอนละ 15 นาทีที่ชื่อว่า “Just One Thing” มีทั้งหมดประมาณ 110 ตอน (หาก ดร.มอสลีย์ ไม่ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ก็คงจะมีตอนต่อไปอีกเป็นจำนวนมาก) โดยแต่ละตอนจะให้แนวคิดและแนวปฏิบัติด้านสุขภาพที่น่าสนใจ เช่น

- ควรกินอาหารอย่างช้าๆ ซึ่งจะทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น และลดการกระชากของระดับน้ำตาลในเลือด

- ควรทำอาหารเองเป็นครั้งคราว จะได้อาหารที่มีคุณภาพ ทำให้อารมณ์ดีด้วยและน้ำหนักตัวลดลง

- การเดินแบบ Nordic walking คือการเดินไปพร้อมกับการถือไม้เท้าทั้งสองมือ จะทำให้เผาผลาญพลังงานมากกว่าและทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น

- การออกกำลังกายแบบเกร็งกล้ามเนื้อ (isometric exercise) เช่น การทำแพลงกิ้ง (planking) ปรากฏว่ามีการทำการวิจัยเปรียบเทียบการออกกำลังกาย

โดยแยกกลุ่มประเภทเทียบกับคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายพบว่า การออกกำลังกายแบบเกร็งกล้ามเนื้อช่วยลดความดันโลหิตได้มากถึง 12 mmHg มากกว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิค หรือการทำให้หัวใจเต้นเร็วคือการวิ่ง 

Just One Thing คำแนะนำเรื่องสุขภาพของ \"ไมเคิล มอสลีย์\"

ถามว่าการที่ความดันโลหิตลดลง 12 mmHg นั้น มีประโยชน์มากน้อยเพียงใด ก็ต้องตอบว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดตีบตัน ที่ทำให้หัวใจวายหรือเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอมากถึง 40%

- การฝึกเล่นเครื่องดนตรีหรือการร้องเพลง จะช่วยให้ความจำดีขึ้น จิตใจเบิกบานและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น

ดร.มอสลีย์ เสียชีวิตลงด้วยอายุเพียง 67 ปี ซึ่งหลายคนคงคิดว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และการดำเนินชีวิตที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงนั้น ไม่น่าจะทำให้อายุสั้น

และอาจทำให้บางคนคิดว่าการใช้ชีวิตโดยการดูแลสุขภาพอย่างมีวินัย ก็ไม่ได้เห็นจะทำให้อายุยืนมากกว่าคนที่ใช้ชีวิตแบบตามใจตามปากตัวเอง คือถ้าดวงดี ยีนดีก็จะอายุยืน แต่หากไม่ใช่ ก็ไม่ควรคิดว่าจะ “ฝืนธรรมชาติ” ได้

แต่จากการอ่านงานวิจัยเป็นจำนวนมากและจากประสบการณ์ของผมนั้น ผมก็ยังจะยืนยันว่า การดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบนั้น ให้ผลตอบแทนที่ล้ำค่ามากกว่าการ “ลงทุน” ในด้านอื่นๆ 

ในกรณี ดร.มอสลีย์ นั้นก็สามารถทำกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำได้จนกระทั่งชั่วโมงสุดท้ายของชีวิต ไม่ได้ป่วยติดเตียง นอกจากนั้น ท่านผู้อ่านก็คงจะได้พบเห็นเพื่อนร่วมรุ่น ที่รู้จักมานานหลายสิบปี ซึ่งบางคนยังดูหนุ่ม-แน่น แข็งแรง แต่บางคนดูอ่อนแอและแก่ลงอย่างเทียบกันไม่ได้

หากต้องการให้แก่ตัวโดยที่ร่างกายยังแข็งแรง และสามารถทำกิจกรรมทุกอย่างตามใจชอบได้จนวันสุดท้าย ก็จะต้องออกกำลังกายเป็นประจำ โดยยึดหลักการ use it or lose it ครับ.