'ลิ้นจี่โมเดล' เข้าใจ-เข้าถึงสุขภาพจิต

'ลิ้นจี่โมเดล' เข้าใจ-เข้าถึงสุขภาพจิต

ปัญหาสุขภาพจิตที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่อาจมองข้ามประเด็นสำคัญอย่าง “การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต”

KEY

POINTS

  • "ลิ้นจี่โมเดล"คือ ประชาชนต้องสามารถดูแลสุขภาพจิตของตนเองได้ ทั้งในมิติของ Community Care Family Care และ Self Care ผ่านทรัพยากรหลากหลายของทุกภาคีเครือข่าย
  • ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะด้านการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่นตลอดช่วงชีวิต 6 ข้อ ที่จะขยายผลการทำงานพื้นที่ต้นแบบให้ขับเคลื่อนสู่ระดับประเทศ
  • ระบบบริการสุขภาพจิตอาศัยแต่จิตเวชหลักไม่ได้ แต่จิตแพทย์ยังต้องเป็นแกน เพราะชาวบ้านจะไม่มีความมั่นใจว่าถ้าดูแลสุขภาพจิตแล้วไม่มีโอกาสได้รับคำแนะนำหรือความรู้

ปัญหาสุขภาพจิตที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงและมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่อาจมองข้ามประเด็นสำคัญอย่าง “การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพจิต” เนื่องจาก“ปัจจุบันจิตแพทย์ในประเทศไทย 1 คน ต้องดูแลประชากรมากถึง 100,000 คน ในขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วการดูแลประชากร 100,000 คน เขามีจิตแพทย์รองรับถึง 5 คน ไทยจึงต้องเร่งผลิตบุคลากรมารองรับ

ผลการดำเนินงาน โครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต โดย มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โรงพยาบาลศรีธัญญา และ มูลนิธิบุญยง-อรรณพ นิโครธานนท์ ชี้ชวนให้สังคมเล็งเห็นและตระหนักถึงความจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินจัดระบบการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเชิงรุก

และการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพจิตให้กระจายอย่างทั่วถึงเพื่อยกระดับสุขภาวะของประชาชน ทั้งในมิติของพฤติกรรมการดำรงชีวิตและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดี เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนครอบคลุมตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

สุขภาพจิตในที่ทำงาน ความท้าทาย-โอกาสองค์กรยุคใหม่

Check List! นิสัย-พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ทำแล้วจิตป่วย

ส่งเสริมสุขภาพจิต หัวใจสำคัญคือเข้าถึงอย่างทั่วถึง 

“พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา หนึ่งในแกนนำขับเคลื่อนโครงการพัฒนาความร่วมมือฯ แนะอีกแนวทางที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยให้ดีขึ้น ว่าการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตไม่จำเป็นต้องรอกรมสุขภาพจิตหรือกระทรวงสาธารณสุขเพียงอย่างเดียว แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นภาคประชาสังคมหรือภาคประชาชน ก็สามารถขับเคลื่อนการส่งเสริมป้องกันปัญหาสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่นร่วมกันเป็นคู่ขนานได้

แนวทางการส่งเสริมศักยภาพให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตในชุมชนของโครงการพัฒนาความร่วมมือฯ ที่เปิดโอกาสให้แต่ละชุมชนได้พัฒนารูปแบบการส่งเสริมสุขภาพจิตด้วยกลไกท้องถิ่นของตัวเอง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่

โดยมีหัวใจสำคัญคือเข้าถึงอย่างทั่วถึง และ “หน่วยบริการสุขภาพท้องถิ่น” ในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) คือหนึ่งผลิตผลของการส่งเสริมศักยภาพให้กับผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพจิตในชุมชนที่มีความสำคัญต่อระบบสุขภาวะไทย เพราะเป็นหน่วยงานสาธารณสุขขนาดเล็กที่ใกล้ชิดกับชาวบ้านมากที่สุด

\'ลิ้นจี่โมเดล\' เข้าใจ-เข้าถึงสุขภาพจิต

บริการสุขภาพ“ลิ้นจี่โมเดล”

ยกตัวอย่าง “ลิ้นจี่โมเดล” ที่ดำเนินการโดย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปากคลองเหมืองใหม่ อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ปรากฏตัวเลขเชิงสถิติผู้ที่มีความพยายามคิดฆ่าตัวตายเฉลี่ย 3 คน/สัปดาห์ และฆ่าตัวตายสำเร็จเฉลี่ย 1 คน/เดือน ขณะที่ในพื้นที่ ต.คลองเหมืองใหม่ ที่มีประชากรประมาณ 4,000 กว่าคน  “นิพนธ์ เงินคงพันธ์” ผู้อำนวยการ รพ.สต.บ้านคลองเหมืองใหม่ กล่าวว่า ได้ร่วมดำเนินโครงการเหมืองใหม่สุขภาพจิตดีกับ มสช.ตั้งแต่ปี 2564 ล่าสุดปี 2567 ได้พัฒนาแนวทางการทำงานในเชิงลึกที่เน้นดูแลสุขภาพจิตให้ประชากรทุกช่วงวัย และบูรณาการการป้องกันการฆ่าตัวตายด้วยแนวคิดบวร หรือ บ้าน วัด โรงเรียน ที่ทุกภาคส่วนจะร่วมด้วยช่วยกันดูแลคนในชุมชน 

เช่น พระสามารถพูดคุยเยียวยาจิตใจคนในชุมชน ขณะที่นักส่งเสริมสุขภาพจิตระดับชุมชนท้องถิ่น หรือ นสช. ก็มีบทบาทในการรับฟังปัญหาและเสริมสร้างกำลังใจ ช่วยส่งต่อข้อมูลความรู้ สืบค้นปัญหา ร่วมกับทีมสหวิชาชีพจากโรงพยาบาล ส่วนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม. ก็จะช่วยดูแลสุขภาพกาย เป็นดั่งม้าเร็วเยี่ยมติดตามผู้ป่วยและประเมินสุขภาพเบื้องต้น ด้านฝ่ายบริหารทั้งกำนันและผู้ใหญ่บ้านก็ร่วมกันทำแผนยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และยังมีที่ปรึกษาเป็นนายอำเภอเพื่อให้เกิดการขยายผลทั้งพื้นที่อีกด้วย

“หน่วยบริการสุขภาพท้องถิ่น มีนวัตกรรมคือศูนย์เยียวยาจิตใจที่พัฒนาต่อยอดเป็นศูนย์อุ่นรักปันยิ้ม ทำหน้าที่พัฒนาร่างกาย จิตใจ รวมถึงให้ความรู้ด้านเศรษฐกิจและรายได้แก่ชาวบ้านทุกช่วงวัย ทั้งเด็ก เยาวชน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ และมีกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์คนทุกวัยในชุมชน เช่น 3 วัย เข้าใจวัยใส พื้นที่เปิดใจให้ทุกคนในชุมชนได้พูดคุยเพื่อหาสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ และวางแนวทางแก้ไขร่วมกัน เกิดเป็นความเท่าเทียมด้านบำบัดรักษาและเรียนรู้ถึงปัจจัยที่มีผลกระทบต่อสุขภาพจิต”

เป้าหมาย "ลิ้นจี่โมเดล"คือ ประชาชนต้องสามารถดูแลสุขภาพจิตของตนเองได้ ทั้งในมิติของ Community Care Family Care และ Self Care ผ่านทรัพยากรหลากหลายของทุกภาคีเครือข่าย ที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ด้วยการบูรณาการทั้งการป้องกันโรคและการส่งเสริมสุขภาพจิตไปพร้อมกัน

ส่งเสริมสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น

“ชาญวิทย์ โวหาร” เลขาธิการมูลนิธิบุญยง-อรรณพ นิโครธานนท์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า หลังการจัดเวทีขับเคลื่อนเชิงนโยบายของภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่นหัวข้อ “เวทีสานพลังเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น” (Community Mental Health Forum) ของโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิตที่จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางทีมดำเนินงานได้สรุปความสำคัญและแปรเป็น “ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะด้านการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่นตลอดช่วงชีวิต 6 ข้อ” ที่จะขยายผลการทำงานพื้นที่ต้นแบบให้ขับเคลื่อนสู่ระดับประเทศต่อไป  ดังนี้

1.นำเครื่องมือดัชนีสุขภาพจิตชุมชนท้องถิ่น (Community Mental Health Index) ไปใช้สำหรับเป็นเครื่องมือในการประเมินสถานะสุขภาพจิตในระดับชุมชน และขยายผลต่อยอดไปสู่การเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินสุขภาพจิตชุมชนในทุกๆ ชุมชนทั่วประเทศในอนาคต 

2.สนับสนุนการขยายผลการสร้างและพัฒนานักส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน (นสช.) ให้กระจายไปทุกชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยหนุนเสริมพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้แก่อาสาสมัครสาธารณหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่เดิม และพัฒนาศักยภาพตัวแทนประชากรกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ 

3.สนับสนุนและจัดให้มีให้มีคลินิกสุขภาพจิตในทุกโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต) พร้อมสนับสนุนทรัพยากรดำเนินงาน

4.สนับสนุนให้กลไก อปท.ระดับต่าง ๆ ขับเคลื่อนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น โดยกำหนดเป็นแผนงานและงบประมาณของหน่วยงาน 

5.สนับสนุนให้มีหน่วยงานและบุคลากรทำหน้าที่การส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในสถานศึกษาโดยจัดตั้งเป็นคลินิกสุขภาพจิต และสนับสนุนให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ บูรณาการกิจกรรมด้านสุขภาพจิตเข้ากับหลักสูตร และกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนและนักศึกษา

 6.สนับสนุนงบประมาณและความรู้วิชาการเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ นสช. และชุมชนท้องถิ่นขับเคลื่อนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต

ขณะที่ "นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์" ประธานมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กล่าวว่า ช่วงปีที่ผ่านมา มสช.มีโอกาสนำเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับสุขภาพจิตในหลายเวที ซึ่งเป็นการดำเนินงานในโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต ที่มุ่งเน้นการควบคุมหรือลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ และจากการทำงานกับภาคีเครือข่าย15 พื้นที่ และภาคประชาสังคม พบว่าโมเดลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้านสุขภาพจิตนั้นได้ทำงานบนฐานของความเป็นวิชาการ

 เช่น การสร้างดัชนีตัวชี้วัดสุขภาพจิตในชุมชนอย่างเป็นระบบ การสร้าง นสช.ในทุกพื้นที่ สามารถเป็นพื้นที่ตัวอย่างให้แก่ชุมชนอื่นทั่วประเทศได้อย่างน่าชื่นชมไม่ว่าจะเป็น ลิ้นจี่โมเดลของ จ.สมุทรสงคราม หรือเสมาโมเดลของ จ.เลย ก็ตาม

 “ระบบบริการสุขภาพจิตอาศัยแต่จิตเวชหลักไม่ได้ แต่จิตแพทย์ยังต้องเป็นแกน เพราะชาวบ้านจะไม่มีความมั่นใจว่าถ้าดูแลสุขภาพจิตแล้วไม่มีโอกาสได้รับคำแนะนำหรือความรู้ นอกจากนี้หากต้องการให้คนไทยมีสุขภาพจิตดีสิ่งที่ต้องดำเนินการคือระบบสังคม ที่จะไม่ใช่เรื่องของแพทย์ ของโรงพยาบาล ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป”

สถานการณ์ความรุนแรงในสังคมไทยที่มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นได้ทุกที่และทุกช่วงวัย ดังนั้นหากมีระบบสนับสนุนที่เข้มแข็ง จะช่วยลดปัญหาและเพิ่มการเข้าถึงบริการที่จำเป็นสำหรับผู้ป่วยและผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างความเข้าใจในชุมชนเพื่อลดอคติและสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการฟื้นฟูสุขภาพจิตของผู้ป่วยจะช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆที่ตามมาได้