เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

เข้าสู่วันที่ 2 ของการจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2567 “BDMS ACADEMIC ANNUAL MEETING 2024” จัดโดย “บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS”

KEY

POINTS

  • “การผ่าตัด” ยังคงเป็นวิธีการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก ที่ช่วยให้รักษาหาย โดยเฉพาะระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถให้ผลการรอดชีวิตได้สูงถึง 95% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
  • การรักษาด้วยเคมีบำบัดแบบรวมก่อนการผ่าตัด (Total Neoadjuvant Therapy - TNT) ต่อมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักระยะลุกลาม วิธีการรักษาใหม่ที่เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องเลี่ยงการผ่าตัดและอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังได้
  • ปัจจุบันกำลังมีการพัฒนา วัคซีน HER2-Targeted เพื่อใช้ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้นและระยะลุกลาม ซึ่งกระบวนการการรักษามะเร็งเต้านม ต้องใช้ทั้งเคมีบำบัด ผ่าตัด และรังสีบำบัด ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดี

การจัดงานประชุมวิชาการประจำปี 2567 “BDMS ACADEMIC ANNUAL MEETING 2024” จัดโดย “บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS” ที่จัดขึ้นต่อเนื่องทุกปี  โดยปีนี้ได้กำหนดการจัดงานภายใต้แนวคิด “A ROAD TO LIFELONG WELL-BEING : EP.2 UNLOCK THE HEALTHY LONGEVITY” ขึ้นระหว่างวันที่ 19-22 พ.ย.2567 ณ  BDMS Connect Center เพื่อพัฒนาแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ทางวิชาการ โดยหนึ่งในหัวข้อการประชุมที่น่าสนใจได้แก่ เรื่องเทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ไทยสุดปัง! Medical tourists โตโดดเด่น BDMS เล็งเปิด รพ.ใหม่ คาดกำไรพุ่ง 1.63 หมื่นล้าน

เจาะลึก “มะเร็งลำไส้ใหญ่” ทำไมคนอายุน้อยป่วยโรคนี้มากขึ้น?

ผ่าตัดมะเร็ง อัตรารอดชีวิตสูงถึง 95%

วันที่ 20 พ.ย.2567 นี้ ได้มีการประชุมในหัวข้อ “Current Treatment in Colorectal Cencer” โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม “ศ.วาสิลิกี เลียนาซิคิติส มหาวิทยาลัยการแพทย์และวิทยาศาสตร์แห่งรัฐโอเรกอน” กล่าวถึง “การรักษา ความก้าวหน้า และอัปเดตล่าสุดในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก" ว่า การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก นั้น การผ่าตัด ยังคงเป็นวิธีการรักษาที่มีเป้าหมายเพื่อการรักษาหาย โดยเฉพาะในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถให้ผลการรอดชีวิตได้สูงถึง 95% ในช่วง 5 ปี และในกรณีระยะลุกลามจะใช้การบำบัดร่วม เช่น เคมีบำบัดและรังสีรักษา

“การผ่าตัดจะทำให้เกิดความแม่นยำ และผลลัพธ์ในด้านมะเร็งวิทยาที่ดีที่สุด อีกทั้งในปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัย เช่น การทำ MRI ที่สามารถระบุขอบเขตของเนื้องอกและต่อมน้ำเหลือง การผ่าตัดผ่านกล้อง หรือการใช้หุ่นยนต์มาช่วยเพิ่มความแม่นยำ โดยเฉพาะในพื้นที่แคบ เช่น อุ้งเชิงกราน หรือการผ่าตัดแบบ Total Mesorectal Excision (TME) ซึ่งจะช่วยให้สามารถผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ” ศ.วาสิลิกี กล่าว

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

ใช้เทคโนโลยีควบคู่การรักษาผสมผสาน

“ศ.วาสิลิกี” กล่าวต่อว่า ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และแนวทางการรักษาแบบผสมผสาน  รวมถึงนวัตกรรมในการรักษามะเร็งระยะเริ่มต้น จะช่วยให้การรักษาแบบคงอวัยวะ และเทคนิคในการผ่าตัดทั้งแบบการผ่าตัดผ่านกล้อง  และการผ่าตัดเปิดช่องท้อง  อีกทั้งการนำหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เข้ามาใช้นั้นจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการผ่าตัด ตอบโจทย์การผ่าตัดเฉพาะรายบุคคล ที่สำคัญทำให้อัตราการรอดชีวิตมีมากขึ้น และลดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

ปัจจุบันการรักษามะเร็งสำไส้ใหญ่และทวารหนัก นั้น ได้มีการนำเทคนิคการผ่าตัด และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยเสริมการทำงานของทีมแพทย์ ซึ่งสามารถเพิ่มผลลัพธ์ในการรักษาผู้ป่วย ลดภาระแพทย์ในการผ่าตัด และป้องกันความเสียหายต่อระบบประสาท ฉะนั้นการใช้เทคโนโลยีควบคู่กับการรักษาแบบผสมผสาน จึงทำให้การรักษาเกิดขึ้นแบบครบวงจร เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีที่สุด

รักษามาตรฐานมะเร็งลำไส้ตรวจระยะลุกลาม

ขณะที่ “รศ.พญ.กฤติยา กอไพศาล คณะเเพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล”  กล่าวถึง “ความก้าวหน้าในการรักษามะเร็งลำไส้และทวารหนักระยะลุกลาม” ว่าวิธีการรักษามาตรฐานสำหรับมะเร็งลำไส้และทวารหนักระยะลุกลาม ก่อนอื่นต้องเข้าใจนิยามของผู้ป่วยกลุ่มนี้ ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยที่มีระยะทางคลินิก T3/T4, N0/N+ และไม่มีการแพร่กระจาย (M0) ของโรค โดยการรักษาตามมาตรฐาน ส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ยา 5-FU ในการรักษาก่อนผ่าตัด การใช้ยา Oxaliplatin ซึ่งจากการศึกษาในงานวิจัย อาทิ AIO และ ADORE  ไม่พบว่ามีผลต่อการรอดชีวิตที่มีนัยสำคัญ

ส่วนการให้เคมีบำบัดหลังการผ่าตัด จะเป็นการแนะนำให้รักษาตามผลทางพยาธิวิทยา (Pathological staging) โดยใช้สูตรยา เช่น FOLFOX  ซึ่งจะปรับตามปัจจัยของผู้ป่วย เช่น อายุ โรคร่วม และอายุขัย โดยผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงผ่าตัดสูงหรือมีอายุขัยน้อยกว่า 5 ปี อาจพิจารณาไม่ให้เคมีบำบัด

“การรักษามะเร็งลำไส้และทวารหนักระยะลุกลามในกลุ่มผู้ป่วยนั้น ปัญหาที่มักพบบ่อย  คือ การรักษาไม่ครบตามแผน เนื่องจากผู้ป่วยบางรายไม่สามารถรับการรักษาเคมีบำบัดหลังผ่าตัดได้ต่อเนื่อง เพราะมีภาวะแทรกซ้อนหรือมีความทนทานต่อการรักษาต่ำ ฉะนั้น การรักษาแบบ CRT ร่วมกับการผ่าตัดจึงยังไม่แสดงผลต่อการรอดชีวิตที่ชัดเจนในงานวิจัย ทำให้เกิดการศึกษาวิธีการรักษาแนวทางใหม่อย่าง การบำบัดด้วยการผ่าตัดแบบ Total Neoadjuvant Therapy (TNT) ใช้การบำบัดมะเร็งทุกรูปแบบที่มีประสิทธิผลก่อนที่จะทำการผ่าตัดใหญ่มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักระยะลุกลาม” รศ.พญ.กฤติยา กล่าว

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

“TNT” รักษาด้วยเคมีบำบัดแบบรวมก่อนการผ่าตัด

“รศ.พญ.กฤติยา” อธิบายว่า TNT การรักษาด้วยเคมีบำบัดแบบรวมก่อนการผ่าตัด เป็นการใช้เคมีบำบัด หรือการฉายรังสีไปอยู่ในช่วงก่อนการผ่าตัด โดยเลื่อนการผ่าตัดออกไป ซึ่งเหมาะกับผู้ป่วยที่มีการตอบสนองทางคลินิกสมบูรณ์ (CCR)  เพื่อเลี่ยงการผ่าตัดและอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังได้ โดยแนวทางการรักษาใช้ TNT นั้น จะเริ่มด้วยการใช้เคมีบำบัดตามด้วยการฉายรังสี (CRT) และการผ่าตัด หรือเริ่มด้วยการใช้ฉายรังสี (CRT) ตามด้วยเคมีบำบัดและการผ่าตัด ซึ่งจะแบ่งเคมีบำบัดบางส่วนก่อนการผ่าตัด และส่วนที่เหลือหลังการผ่าตัดการใช้ TNT

“ข้อดีของTNT จะช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนองทางพยาธิวิทยาสมบูรณ์ (pCR) ถึง 28% เทียบกับ 12-14% ในการรักษาแบบมาตรฐาน เพิ่มระยะเวลาระหว่างการฉายรังสีกับการผ่าตัด ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์การรักษา และสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งที่แพร่กระจายได้ตั้งแต่ระยะแรก แต่ทั้งนี้ แม้ว่า TNT จะช่วยปรับปรุงการรอดชีวิตโดยปราศจากโรค แต่ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าช่วยเพิ่มการรอดชีวิตโดยรวม ดังนั้น ต้องเลือกผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง ซึ่งการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัดและ  TNT ต้องเป็นแบบเฉพาะบุคคล จึงอาจเป็นแนวทางในอนาคต โดยมุ่งเน้นที่การปรับการรักษาให้เหมาะสมกับชีวภาพของเนื้องอกและลักษณะเฉพาะของผู้ป่วย”รศ.พญ.กฤติยา กล่าว

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา ลดผลข้างเคียง

ต่อมาในช่วงสายได้มีการจัดเสวนาในหัวข้อ “การรักษามะเร็งเต้านม อัปเดตล่าสุดและการแลกเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติ” โดยได้รับเกียรติจาก “ศ.สรัญญา ชุมศรี จาก Mayo Clinic USA” เป็นผู้บรรยาย ว่าการพัฒนาการรักษามะเร็งเต้านม HER2-Positive ในปัจจุบันมีการรักษาที่แตกต่างไปจากเดิม โดยขณะนี้จะใช้การรักษาแบบ neoadjuvant (ก่อนการผ่าตัด) เพื่อประเมินผลลัพธ์ได้ดีขึ้นและเพิ่มอัตราการตอบสนองทางพยาธิวิทยา (pathological complete response หรือ pCR)

รวมถึงมีแนวทางในการรักษาใหม่ ๆ อย่าง -DM1 (Kadcyla) ที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการกลับมาเป็นซ้ำในผู้ป่วยที่มีโรคหลงเหลือหลังการผ่าตัด (ผลจากการทดลอง KATHERINE) แต่ยังผลข้างเคียง อาทิ เอนไซม์ตับสูงและปอดอักเสบ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับรังสีรักษา  และมีการนำสูตรยาใหม่ ๆ เช่น การยาฉีดใต้ผิวหนังที่ช่วยลดระยะเวลาในการรักษา และเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ป่วยเมื่อเทียบกับการให้ยาทางหลอดเลือดดำ

“ศ.สรัญญา” กล่าวต่อว่า ตนได้มีการศึกษาทดลองทางคลินิกในเรื่องดังกล่าว โดยมีการทดสอบ ADC รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นแต่มีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้น ทั้งการลดระดับการรักษา ซึ่งเป็นการ ศึกษาการลดการใช้ยาเคมีบำบัดในผู้ป่วยความเสี่ยงต่ำเพื่อลดผลข้างเคียง (เช่น การทดลอง COMPASS และ ADAPT) และการเพิ่มระดับการรักษา (Escalation Studies) ทดสอบการรักษาแบบเข้มข้นสำหรับผู้ป่วยความเสี่ยงสูง รวมถึงการผสมผสาน ADC กับการรักษาแบบใหม่ พบว่า การใช้ T-DM1 หลังการผ่าตัดช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วยที่ยังมีโรคหลงเหลือ แสดงประสิทธิภาพของการใช้ยาสองตัว (pertuzumab และ trastuzumab) ร่วมกับเคมีบำบัด และการทดสอบ trastuzumab deruxtecan (T-DXd) ซึ่งแสดงผลการรอดชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

พัฒนาวัคซีน รักษาเฉพาะบุคคล

“ขณะนี้กำลังพัฒนา วัคซีน HER2-Targeted เพื่อใช้ในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นและระยะลุกลาม  และค้นหาชีวเครื่องหมาย (biomarker) ที่ช่วยเลือกวิธีการรักษาและพยากรณ์ผลตอบสนองของผู้ป่วย เพราะการรักษาเฉพาะบุคคลนั้น ต้องมุ่งเน้นการออกแบบการรักษาที่เหมาะสมกับชีววิทยาของเนื้องอกและความเสี่ยงของผู้ป่วย เพิ่มอัตรา pCR และวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสม ที่สำคัญต้องลดการใช้เคมีบำบัดในผู้ป่วยความเสี่ยงต่ำ ขณะที่เพิ่มการรักษาในผู้ป่วยความเสี่ยงสูง” ศ.สรัญญา กล่าว

อย่างไรก็ตาม การรักษามะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการนำเสนอวิธีการรักษาแบบใหม่และแนวทางเฉพาะบุคคล ความก้าวหน้าดังกล่าว จะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย พร้อมลดภาระการรักษา การวิจัยและการทดลองทางคลินิกที่กำลังดำเนินอยู่จะช่วยปรับปรุงกลยุทธ์เหล่านี้ต่อไป เพื่อผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นด้วยผลข้างเคียงที่น้อยลง รวมถึงความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนความรู้เป็นสิ่งสำคัญในการนำความก้าวหน้าเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติจริงในอนาคต

3 กระบวนการรักษาสู้มะเร็งเต้านม

ปิดท้ายด้วย “นพ. ฉัตรชัย คูวัธนไพศาล โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ” ได้นำเสนอ “แลกเปลี่ยนกรณีศึกษาและอภิปราย เกี่ยวกับการรักษามะเร็งเต้านม”  ว่าการแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ จะเน้นไปที่ประวัติครอบครัวของผู้ป่วย กระบวนการรักษา และการจัดการหลังการรักษา ซึ่งประวัติครอบครัวของผู้ป่วยมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมะเร็งเต้านม เกิดจากกรรมพันธุ์ การทบทวนประวัติครอบครัวผู้ป่วยอย่างละเอียดจะนำไปสู่การตรวจวินิจฉัย  จนพบก้อนเนื้องอกที่มีลักษณะเป็นเนื้องอก hypoechoic  และเริ่มกระบวนการรักษาได้อย่างทันท่วงที

ทั้งนี้ สำหรับกระบวนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม จะได้รับการรักษาด้วยเคมีบำบัดจำนวน 6 รอบ โดยมีการติดตามผลผ่านการตรวจภาพทางการแพทย์ เช่น การทำ CT scan หลังการรักษา พบว่าผลการตรวจก้อนเนื้องอกมีขนาดเล็กลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นว่ามีการตอบสนองที่ดีต่อการรักษา รวมทั้งการลดลงของการทำงานเมตาบอลิซึมของก้อนมะเร็งยังบ่งชี้ถึงการตอบสนองที่ดี

เทคโนโลยีใหม่ วัคซีน ความหวังผู้ป่วยมะเร็งลำไส้-ทวารหนัก-เต้านม

“นพ. ฉัตรชัย”  กล่าวทิ้งท้ายว่าหลังจากการรักษาด้วยเคมีบำบัด ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัด และผลจากการผ่าตัดพบว่าก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กมาก และพบว่ามีการรอดของเนื้องอกที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ซึ่งจัดอยู่ในประเภทมะเร็งที่มีความรุนแรงน้อย จากผลดังกล่าวแพทย์แนะนำให้ทำการรักษาด้วยรังสีบำบัดเพื่อป้องกันการกลับมาเกิดมะเร็งอีกครั้ง ดังนั้น จะเห็นได้ว่า กระบวนการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านม การติดตามผลการรักษาผ่านการตรวจภาพทางการแพทย์ และการใช้เคมีบำบัด ตามด้วยการผ่าตัดและรังสีบำบัด จะช่วยทำให้ผลการรักษาผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น