‘แสนปิติ สิทธิพันธุ์’ ลูกชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี
ลูกคือดวงใจพ่อแม่ แน่นอนว่าเมื่อลูกเกิดมามีข้อบกพร่องทางกายภาพไม่สมบูรณ์ 100% ดวงใจพ่อแม่ย่อมร้าวราน ผู้ชายเพอร์เฟ็คอย่าง “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเคยผ่านช่วงเวลาดังกล่าวมาก่อนเมื่อทราบว่าลูกชายคนเดียวบกพร่องทางการได้ยิน
แต่ด้วยสติและความมุ่งมั่นนำลูกชายไปบำบัดและรักษา ถึงวันนี้น้องแสนดี “แสนปิติ สิทธิพันธุ์” กลายเป็นผลผลิตอันงดงาม สำเร็จการศึกษาใหม่หมาดจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐ สร้างความภาคภูมิใจให้กับพ่อแม่ กรุงเทพธุรกิจ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษครั้งแรกถึงเส้นทางกว่าจะมีวันนี้ของ “ลูกชายผู้แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” ที่อ่านแล้วสร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน
Q: จำตอนที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยได้มั้ย ความรู้สึกตอนนั้นเป็นไงบ้าง
A: ผมจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกกับการไม่ได้ยินอะไรเลย เกือบจะเหมือนกับผมสูญเสียความเป็นตัวเองไปส่วนหนึ่ง
Q: เคยคิดบ้างมั้ยว่าคุณจะไม่ได้ยินไปตลอดชีวิต
A: บางครั้งผมก็คิดนะครับ แต่ชีวิตต้องไปต่อและคุณต้องพร้อมรับกับสิ่งที่เป็น อย่าให้มันมาลดทอนความมุ่งมั่น หรือข้อเท็จจริงที่ว่าคุณยังสามารถใช้ชีวิตปกติได้ซึ่งควรค่ากับการต่อสู้เพื่อให้ได้มา
Q: ตอนคุณเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ดูแลคุณอย่างไร
A: คุณพ่อคุณแม่พาผมไปตรวจที่คลินิกบ่อยครั้ง ช่วยเปลี่ยนแบตเตอรีเครื่องมือช่วยฟัง ช่วยฝึกพูดและสนทนานู่นนี่ พวกเขาเป็นต้นแบบมากๆ ในการพัฒนาทักษะการสื่อสารและการพูดของผม
Q: ตอนบำบัดช่วงแรกๆ คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง
A: ก็รู้สึกเหนื่อยและท้อครับ เหมือนล่องลอยไร้จุดหมาย ผมอยากเลิกหลายครั้ง แต่ก็พร่ำบอกตัวเองว่า การต่อสู้ยังไม่จบจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ผมต้องหาทางออกจากสถานการณ์นี้ให้ได้
Q: เวลาคุณเหนื่อยพ่อแม่ให้กำลังใจคุณอย่างไร
A: สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่ไม่เคยดุหรือบ่นผมเลย พวกเขาให้ฟีดแบ็กที่สร้างสรรค์ ให้ข้อคิดที่ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผม
Q: คุณต้องฝึกขนาดไหนกว่าจะสื่อสารได้
A: ผมฝึกทักษะการพูดด้วยการสนทนากับเพื่อน กับครู และครอบครัว รวมถึงฝึกกับนักอรรถบำบัดเพื่อช่วยเรื่องการออกเสียงบางคำ ผมฝึกแกรมมาร์ภาษาอังกฤษพื้นฐานและการสร้างประโยคด้วยตนเอง จนพัฒนาการเขียนและการพูดได้ จนกระทั่งอายุ 5-6 ขวบผมจึงสามารถพูดได้ปกติ
Q: นอกจากพ่อแล้ว แม่ดูแลและฝึกคุณอย่างไรบ้าง
A: แม่น่าจะเป็นคนที่วิจารณ์ผมหนักที่สุด และคอยบอกเสมอว่าผมควรปรับปรุงเรื่องไหน ทั้งการใช้ชีวิตและเรื่องที่โรงเรียน
Q: ก่อนมาใช้ชีวิตในสหรัฐพ่อแม่สอนให้คุณดูแลตัวเองอย่างไร
A: ถ้าพูดถึงเรื่องนี้ จริงๆ แล้วคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้แนะนำผมมากนักว่าควรดูแลตัวเองยังไง ผมมาเรียนรู้จริงจังตอนเข้าคอลเลจแล้วก็ปรับตัวเอง บอกได้เลยว่าประสบการณ์ทั้งหมดในคอลเลจไม่ใช่แค่ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ แต่เป็นบทเรียนแห่งความพากเพียรด้วย
Q: ชีวิตในสหรัฐเป็นอย่างไรบ้าง อยู่ที่ไหน ทำกับข้าวกินเองบ้างหรือไม่ เล่าให้ฟังหน่อย
- ผมอยู่อพาร์ทเมนท์นอกมหาวิทยาลัยครับ เดินทางราว 10-15 นาที อยู่ในย่านน่าพักอาศัยติดกับแคมปัส ผมก็นั่งรถเมล์มาเรียน ตอนเรียนปีหนึ่งผมเคยอยู่หอพักมหาวิทยาลัย แต่ไม่ชอบชีวิตแบบนั้นก็เลยไปขอพ่อกับแม่ว่าอยากออกมาอยู่ข้างนอก
เรื่องอาหารส่วนใหญ่ผมทานข้างนอก จะทำกับข้าวก็ต่อเมื่อเพื่อน พ่อแม่ หรือครอบครัวมาเยี่ยม ปกติก็จะทานข้างนอก
Q: เพื่อนๆ มาจากประเทศไหนกันบ้าง
A: ส่วนใหญ่ก็เป็นคนอเมริกันครับ ที่เหลือก็มีทั้งไทย จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง เวียดนาม
Q: คุณเรียนอะไร ทำไมถึงเลือกวิชานี้ และอยากทำงานอะไร
A: ผมกำลังจบการศึกษาวิชาเอกประวัติศาสตร์ ตอนแรกผมตั้งใจจะเรียนสองวิชาเอก ประวัติศาสตร์และธุรกิจ แต่ถ้าทำแบบนั้นผมต้องสมัครเรียนสองปริญญาในคราวเดียว ผมก็เลยเลือกวิชาประวัติศาสตร์ เพราะชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก
สิ่งที่ผมชอบที่สุดในการเรียนประวัติศาสตร์ไม่ได้อยู่ที่ลักษณะหรือสภาพแวดล้อมของประวัติศาสตร์มนุษย์ แต่เป็นการทำความเข้าใจความซับซ้อนและแรงจูงใจของผู้คนในช่วงเวลาต่างๆ มากกว่า
Q: ตอนอยู่สหรัฐทำงานพาร์ทไทม์บ้างมั้ย
A: ไม่เลยครับ
Q: ช่วงเลิกเรียนหรือวันหยุด คุณทำอะไร
A: ผมชอบปีนเขาเส้นทาง Burke Gilman-Trail ซึ่งเป็นเส้นทางตัดผ่านมหาวิทยาลัยและอยู่ใกล้ที่พัก แล้วก็ชอบดูถ่ายทอดสดกีฬามากๆ ชอบแวะไปคาเฟ่ร้านโน้นร้านนี้ในเมืองด้วยครับ
Q: ได้ข่าวว่าชอบดูหนัง ชอบดูแบบไหน ช่วยแนะนำหนังที่คุณชอบให้วัยรุ่นไทยหน่อย
A: ดู Forrest Gump เลยครับ ไม่ผิดหวังแน่ สำหรับหนังคลาสสิกผมแนะนำ Godfather ทั้งสามภาค,Star Trek II – Wrath of Khan and Goodfellas อีกหนึ่งเรื่องโปรดที่ผมดูซ้ำบ่อยๆ ก็ Lord of the Ring ครับ
Q: ชอบกีฬาอะไรอีกนอกจากมวย
A: ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ฟุตบอล รักบี้ คริกเก็ต ฟอร์มูลาวัน บาสเก็ตบอล เบสบอล เทนนิส กอล์ฟ ศิลปะการต่อสู้แบบผสม (MMA) แล้วก็อเมริกันฟุตบอลครับ
Q: งานอดิเรกมีอะไรอีกนอกจากกีฬา
A: ก็เขียนเรื่อง ถ่ายภาพ อ่านหนังสือ สะสมหุ่นเล็กๆ เล่นวีดิโอเกม ทำบล็อก
Q: พ่อแม่สร้างแรงบันดาลใจให้คุณยังไง
A: พ่อเป็นแรงบันดาลใจใหญ่สุดของผมเลยครับ ส่วนแม่เป็นผู้แนะนำที่ดีที่สุด
Q: ได้ยินมาว่าคุณสนิทกับพ่อมาก คุณชอบทำกิจกรรมอะไรกับพ่อ
A: สำหรับผมก็ชอบไปร้านกาแฟแล้วก็ไปชมกรุงเทพฯ ผมสนุกที่ได้ร่วมทำโครงการกับพ่อ ติดตามพ่อไปนู่นไปนี่
Q: เรียนจบแล้วจะทำงานที่สหรัฐหรือไทย
A: ผมจะพักสักปีสองปีก่อนครับ แล้วค่อยหางานทำในเมืองไทย
Q: ความฝันของคุณคืออะไร
A: ผมอยากสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น เหมือนที่พ่อและปู่ผมเป็นแรงบันดาลใจให้ผมครับ
Q: นอกจากพ่อแล้วคุณยังมีใครเป็นไอดอล
A: สำหรับผม ไอดอลคนหนึ่งเลยคือ Kobe Bryant ผมโตมากับการดู Los Angeles Lakers ความดุดันและความเจ๋งของเขาโดนใจผม ตอนที่เขาเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อนผมเสียใจมาก แต่ยังดีที่ได้เห็นผลงานในช่วงเวลาดีที่สุดของเขาหลายปีในฐานะเจ้าตำนานบาสเก็ตบอล ถึงวันนี้เขายังเป็นนักกีฬาคนโปรดของผม
Q: ในฐานะคนรุ่นใหม่ คุณอยากทำอะไรให้ประเทศชาติ
A: ขอบคุณนะครับที่ถามคำถามนี้ สำหรับผมมีคนรุ่นใหม่เหมือนผมหลายคนที่กระตือรือร้นและตื่นเต้นอยากเห็นอนาคตที่รอเราอยู่ โอกาสช่วยประเทศนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะอยู่ในภาครัฐหรือเอกชน ผมจะทำในสิ่งที่เหมาะสมที่สุดกับความสามารถและศักยภาพของตัวเอง
ในฐานะคนพิการผมอยากเห็นความก้าวหน้าและความทุ่มเทเรื่องสิทธิคนพิการ จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเห็นผมทำงานด้านนี้อย่างสุดความสามารถ คนพิการอายุต่ำกว่า 21 ปี มีประมาณ 130,000-150,000 คน และยังขาดกฎหมายและสิทธิประโยชน์ขั้นพื้นฐาน ผมอยากเข้าไปช่วยเรื่องโอกาสในการศึกษาพิเศษและยกระดับคนชายขอบครับ