ทำอย่างไร? เมื่อ “โซเชียลมีเดีย” จำเก่ง คอยย้ำเตือน “วันนี้ในอดีต”

ทำอย่างไร? เมื่อ “โซเชียลมีเดีย” จำเก่ง คอยย้ำเตือน “วันนี้ในอดีต”

เผยวิธีช่วยชีวิตคนที่อยาก “ลืมอดีต” จากความทรงจำเก่า ๆ แต่ดันติดกับดัก “โซเชียลมีเดีย” ที่คอยย้ำเตือนอดีตอยู่ทุกวี่วัน แล้วต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้อดีตเหล่านั้นตามมาหลอกหลอน สามารถนำไปใช้ได้ทั้งคนที่ยัง “มูฟออนเป็นวงกลม” และ คนที่เคยโพสต์เหตุการณ์ที่เป็น “ตราบาป” ในอดีต

หลายครั้งที่ความรักของเราไม่สมหวัง มีเหตุให้ต้องเลิกรากันไป สิ่งหนึ่งที่มนุษย์มักจะทำ เพื่อช่วยให้ลืมความเจ็บปวดจากความรักนั้นไป คือการทำลายหลักฐานการมีอยู่ของแฟนเก่า ไม่ว่าจะเป็นบริจาคข้าวของทั้งหลายที่เคยซื้อให้กันตอนความรักยังหวานฉ่ำ ทิ้งรูปถ่ายหรือจดหมายรักที่เคยส่งให้กัน ก็พอจะช่วยให้ “มูฟออน” จากความรักครั้งเก่าไปได้บ้าง 

ไม่ใช่แม้แต่เรื่องความรักเพียงอย่างเดียว หลายครั้งที่เราย้อนไปอ่านโพสต์เก่า ๆ ในวัยที่ยังไม่รู้เดียงสา แล้วเกิดความคิดว่า ตอนนั้นเราทำไปได้อย่างไรกัน กลายเป็น “ตราบาปในชีวิต” สิ่งเหล่านี้เราล้วนอยากจะลบออกไปจากความทรงจำของทุกคนให้หมด

การเข้ามาของโซเชียลมีเดียและร่องรอยแห่งดิจิทัล (Digital Footprint) ทำให้คนเรามูฟออนได้ยากขึ้น เพราะยามที่เรารักกัน เราต่างโพสต์รูปคู่ สร้างโมเมนต์ สาดความหวานลงโซเชียลมีเดียอย่างเต็มที่ แต่เมื่อเลิกกันแล้ว บางคนก็เลือกจะลบหรือซ่อนโพสต์เหล่านั้น แต่บางทีก็เผลอข้ามบางโพสต์ไปซ่อนหรือลบไม่หมด หรือบางคนก็เลือกจะไม่ลบมัน เพราะขี้เกียจนั่งย้อนหาโมเมนต์มากมายที่เคยมีร่วมกัน ก็เลยปล่อยเลยตามเลย

มันคงจะไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนน่าจะมูฟออนไปได้ แต่โซเชียลมีเดียเจ้ากรรม โดยเฉพาะเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม ดันมีฟังก์ชันเมมโมรี (Memories) แสดงโพสต์ “วันนี้ในอดีต” พาเราย้อนกลับไปในความทรงจำ ทำให้เราหวนคิดถึงอดีต วันวานที่แสนหวาน ทั้งที่เราพยายามจะลืมมันอยู่ จนสุดท้ายก็ “มูฟออนเป็นวงกลม” ไปไหนไม่รอดติดอยู่กับความทรงจำเดิม ๆ

จากการศึกษาของ เคท จี แบล็คเบิร์น, ลีอาห์ อี เลเฟบเวร์ และนิก โบรดี นักวิจัยด้านการสื่อสาร ที่ร่วมกันทำการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์บนโซเชียลมีเดียหลังจากเลิกรากับคนรักเก่า เพื่อสำรวจวิธีการตัดสินใจว่าจะเก็บหรือลบความทรงจำบางสิ่งหลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ และการตัดสินใจเหล่านี้ส่งผลต่อการมูฟออนได้อย่างไร

 

  • ต้องลบทิ้งให้สิ้นซาก?

จากงานวิจัยในปี 2558 ที่ตีพิมพ์ลง Journal of Social and Personal Relationships พบว่า คนส่วนใหญ่หลังจากที่เลิกรากันไปแล้ว มักจะทำการลบหรือซ่อนโพสต์ รูปต่าง ๆ และสถานะความสัมพันธ์ ในโซเชียลมีเดียที่เคยทำไว้ตอนรักกัน

ขณะที่อีกผลการศึกษา ระบุว่า คนที่ชอบกลับไปย้อนดูรูปคู่เก่า ๆ ที่เคยโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย และแอบไปส่องโซเชียลมีเดียของคนรักเก่าหลังจากเลิกกันไปแล้ว จะมูฟออนได้ยากกว่าคนทั่วไป

นอกจากนี้ 3 นักวิจัยด้านการสื่อสาร ยังได้ทำการศึกษา จากการพิจารณาว่าการเลือกเก็บหรือลบโพสต์ต่าง ๆ หลังจากการเลิกราช่วยให้ ผู้คนเดินหน้าต่อไปและฟื้นฟูอารมณ์หลังจากสิ้นสุดความสัมพันธ์ได้หรือไม่ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า คนที่ยังรักอยู่มีแนวโน้มที่จะเก็บโพสต์เหล่านั้นไว้ ซึ่งทำให้พวกเขาไม่สามารถมูฟออนไปไหนได้ และมักจะย้อนกลับไปดูโพสต์เหล่านั้นอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม การลบรูปและโพสต์ต่าง ๆ ที่เคยเป็นตัวแทนความรักอันหวานชื่นไป อาจจะช่วยให้คุณสามารถลืมความรักครั้งก่อนได้เร็วขึ้นและก้าวต่อไปสู่ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้ง่ายยิ่งขึ้น แต่บางครั้งการเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ก็อาจจะช่วยให้เราระลึกเสมอว่าทำไมถึงเลิกกัน และมีส่วนกระตุ้นให้เราเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ต่อไป

สำหรับคนที่ไม่ต้องการรับรู้ “วันนี้ในอดีต” ให้มารบกวนใจ เฟซบุ๊กมีวิธีการปิดแจ้งเตือนและซ่อนความทรงจำที่มีร่วมกับใครบางคนได้ด้วยวิธีการดังนี้

1. แตะ ที่ด้านขวาบนของ Facebook

2. เลื่อนลงมาแล้วแตะ "ดูแอปทั้งหมด" แล้วแตะ "วันนี้ในอดีต"

3. แตะ ที่ด้านขวาบน

4. แตะ “การแจ้งเตือน”

5. แตะเพื่อเปิดหรือปิดการแจ้งเตือน

ส่วนการซ่อนความทรงจำจากบางคน สามารถพิมพ์ชื่อเฟซบุ๊กของคนที่ต้องการซ่อนได้ลงในช่องที่ระบุว่า “ซ่อนความทรงจำ” ได้เลย

 

  • เลิกกันทำไมนะ?

นอกจากการจัดการบรรดาโพสต์ในโซเชียลมีเดียในแพลตฟอร์มต่าง ๆ แล้ว การต้องคอยเล่าถึงสาเหตุการเลิกรากันไปให้คนรอบข้างฟังซ้ำไปซ้ำมาก็เป็นอีกเรื่องที่แสนสะเทือนใจ เพราะเท่ากับเป็นการตอกย้ำถึงเหตุการณ์ที่เราต้องการลืมมันให้ได้อยู่เรื่อย ๆ และในบางครั้งเราก็ต้องสร้างเรื่องราวการเลิกกันขึ้นมา เพราะเราไม่สามารถเล่าให้ทุกคนฟังได้ตามความจริง เราอาจจะเล่าความจริงให้เพื่อนสนิทได้ฟังได้แบบหมดเปลือก แต่สำหรับพ่อแม่แล้วเราอาจจะบอกไม่หมด หรือบิดความจริงเล็กน้อย เพื่อไม่ให้พวกท่านเป็นห่วง และเสียใจไปกับเรา

อีกทั้งโซเชียลมีเดียยังเข้ามาสร้างเรื่องให้ปวดหัวได้ด้วย เพราะในปัจจุบันแต่ละคนไม่ได้มีเพียงแค่แอคเคาท์โซเชียลมีเดียเดียว แต่ถือไว้หลายแอคเคาท์ มีทั้งอินสตาแกรมหลัก หรือ แอคหลัก ที่เอาไว้โพสต์รูปสวย ๆ ด้านดี ๆ ในชีวิต กับแอคหลุม หรือ Finsta ที่มีไว้แสดงตัวตนที่แท้จริงกับเพื่อนสนิทเท่านั้น

ดังนั้นวิธีการเล่าเรื่องราวความรักผ่าน 2 แอคเคาท์นี้จึงมีความแตกต่างกัน แอคหลักอาจจะเล่าเรื่องอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น รักษาภาพลักษณ์ หรืออาจจะตีมึนไม่พูดถึงเหตุการณ์การเลิกราไปเลย หากไม่มีใครถาม แต่ขณะที่แอคหลุมสามารถเล่าได้เต็มที่ และในบางครั้งถ้าเลิกกันไม่ดี เราอาจจะเผลอใส่สีตีไข่ ใส่ไฟไปด้วย

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันเวลาผ่านไปล่วงเลยจนพร้อมมูฟออนแล้ว ผู้คนอาจจะเปลี่ยนวิธีการพูดถึงสาเหตุการเลิกกันให้ซอฟต์ลง และไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเป็น “ผู้ร้าย” เท่าตอนแรก เพราะอารมณ์ไม่ได้ท่วมท้นเท่ากับตอนเลิกกันใหม่ ๆ แล้ว อีกทั้งสามารถกลับไปดูรูปและข้อความเก่า ๆ ได้อย่างไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว

 

  • ยังเป็นเพื่อนกันได้?

เมื่อเราคบกับใคร เรามักจะรับคนรอบข้างของเขาเข้ามาในชีวิตด้วย ทั้งในชีวิตจริงและบนโซเชียลมีเดีย แต่เมื่อคุณเลิกกับคนนั้นไปแล้ว อาจจะต้องถึงเวลาทบทวนว่าคุณยังอยากจะเป็นเพื่อนในโลกออนไลน์กับเพื่อน ครอบครัวของแฟนเก่าอยู่หรือไม่ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แถมบางคนยังดีกับคุณเสียเหลือเกิน แต่ก็มีโอกาสสูงที่คนเหล่านั้นจะถ่ายรูปหรือแท็กหาแฟนเก่าคุณ ทำให้เขายังคงมาวนเวียนอยู่ในหน้าไทม์ไลน์ของคุณอยู่ แม้ว่าคุณจะอันเฟรนด์หรือบล็อกเจ้าตัวไปแล้วก็ตาม ซึ่งการเห็นคนรักเก่าอาจจะเป็นการเปิดแผลเก่าของคุณให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาอีกครั้ง

ดังนั้นคุณควรจะทบทวนและคิดให้ถี่ถ้วนว่าจะเก็บรักษาพวกเขาไว้หรือไม่ เพราะบางครั้งเราสามารถรักษาความสัมพันธ์ในชีวิตจริงไว้ได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพื่อนกันในโซเชียลมีเดีย 


ในระยะแรกที่พึ่งเลิกกัน การเอาตัวเองออกมาให้ไกลจากเขาอาจจะเป็นสิ่งที่ปลอดภัยกับหัวใจและความรู้สึกของเรามากกว่า และวันใดที่เราพร้อม ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว จะกลับไปเป็นเพื่อนกับเขาอีกครั้งก็ยังไม่สาย

อันที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่มีสูตรตายตัวว่าควรทำอย่างไร คุณอาจจะเลือกทิ้งบางอย่างที่คุณยังไม่พร้อมจะเห็นมัน และเก็บบางอย่างไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนและย้ำเตือนว่าถ้ามีรักครั้งใหม่จะไม่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หรือสุดท้ายแล้วคุณจะทิ้งทั้งหมด หรือเก็บทั้งหมดก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณ แต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน คุณก็ควรต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและทำร้ายหัวใจตัวเองให้น้อยที่สุดเสมอ


ที่มา: NBC News, SELFThe Conversation