10 เมือง Workcation ดีที่สุดในโลก ครองใจวัยทำงานสายไฮบริด-ทำงานระยะไกล
‘บูดาเปสต์’ ขึ้นแท่นอันดับ 1 เมือง Workcation ดีที่สุดในโลก ตามรายงานของ International Workplace Group (IWG) ส่วนประเทศแถบอาเซียน พบ ‘สิงคโปร์’ จับมือ ‘จาการ์ตา’ คว้าอันดับ 7 และ 8 ตามลำดับ
การทำงานไฮบริดไม่ว่าจะเป็น Work From Home, Remote Work, Workcation, Digital Nomad ได้กลายมาเป็นรูปแบบการทำงานปกติของคนส่วนใหญ่ในยุคนี้ เรียกได้ว่าเป็นสวัสดิการอันดับต้นๆ ที่พนักงานทั่วโลกมีความต้องการสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะพนักงานใหม่มักจะถามหาสวัสดิการนี้จาก(ว่าที่)นายจ้าง ตั้งแต่วันสัมภาษณ์งานเลยทีเดียว
ยืนยันจากรายงานของ ‘สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจสแตนฟอร์ด’ ที่ระบุว่า จำนวนคนทำงานที่บ้านหรือ Work From Home เพิ่มขึ้น 5 เท่าระหว่างปี 2019 - 2023 และในปัจจุบันพนักงานในสหรัฐฯ 40% ทำงานจากระยะไกลอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์
ในขณะที่การทำงานไฮบริดในรูปแบบ Workcation ก็พบว่าได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในกลุ่มวัยทำงานคนรุ่นใหม่เช่นกัน โดยเมื่อเร็วๆ นี้มีผลสำรวจจาก International Workplace Group (IWG) ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นและผสมผสาน ได้จัดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกสำหรับคนทำงานไฮบริด และพบว่า “บูดาเปสต์” เมืองหลวงของประเทศฮังการี ขึ้นแท่นอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุดในโลก สำหรับการทำงานและพักผ่อนหรือที่เรียกว่า “workcation”
เปิด 10 อันดับเมือง Workation ดีที่สุดในโลก
อันดับ 1 บูดาเปสต์, ประเทศฮังการี
อันดับ 2 บาร์เซโลนา, ประเทศสเปน
อันดับ 3 ริโอ เด จาเนโร, ประเทศบราซิล
อันดับ 4 ปักกิ่ง, ประเทศจีน
อันดับ 5 ลิสบอน, ประเทศโปรตุเกส
อันดับ 6 นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา
อันดับ 7 สิงคโปร์
อันดับ 8 จาการ์ตา, ประเทศอินโดนีเซีย
อันดับ 9 ลอสแอนเจลิส, สหรัฐอเมริกา
อันดับ 10 มิลาน, ประเทศอิตาลี
โดยผลสำรวจดังกล่าว อ้างอิงตามการวิจัยภายในองค์กร ที่ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานออฟฟิศแบบไฮบริดจำนวน 1,000 คนทั่วโลก
ตามรายงานของ IWG ยังค้นพบด้วยว่า พนักงานที่ทำงานแบบไฮบริดถึง 84% มักจะขยายเวลาหรือพิจารณาขยายวันหยุดพักร้อนเพื่อให้ทำงานจากระยะไกลได้ยาวนานขึ้น ในขณะที่ 75% ของพนักงานไฮบริดบอกว่า “อิสระในการทำงานจากที่ไหนก็ได้ ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในงานของพวกเขา”
กว่าจะได้ 10 เมืองที่ดีที่สุด ต้องพิจารณาทั้งภูมิอากาศ, ความสะดวกที่พัก, ระบบขนส่ง, ค่าครองชีพ ฯลฯ
มาร์ก ดิกสัน (Mark Dixon) ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ International Workplace Group เล่าถึงการค้นพบข้อมูลนี้ว่า มีคนวัยทำงานจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ หันมาสนใจแนวคิดการรวมการทำงานเข้ากับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงท้ายของวันหยุด หรือเป็นเวลาไม่กี่เดือน โดยคนกลุ่มนี้ถูกนิยามว่าเป็น Digital Nomad หรือคนที่ทำงานได้ทุกที่บนโลกเพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตและแล็ปท็อป
สำหรับการคัดเลือกและจัดอันดับ 10 เมือง Workcation ที่ดีที่สุดในโลกนั้น IWG ได้สำรวจข้อมูลเชิงเปรียบเทียบเมืองต่างๆ 30 แห่งทั่วโลกและพิจารณาให้คะแนนในระดับ 1-10 ในหลากหลายหมวดหมู่ ได้แก่ ภูมิอากาศ, วัฒนธรรม, ที่พัก, ขนส่ง, อาหาร, ค่าครองชีพ (ค่ากาแฟ), ความสุข, ความเร็วบรอดแบนด์, ความยั่งยืน, ความพร้อมของพื้นที่ทำงานที่มีความยืดหยุ่น
โดยเกณฑ์ต่างๆ ข้างต้น ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องชี้วัดว่าสภาพแวดล้อมในต่างประเทศจะสะดวกสบาย หรือเอื้ออำนวยต่อชาว Digital Nomad มากน้อยแค่ไหน เพราะพนักงานที่ทำงานระยะไกลย่อมต้องการส่งงานให้ตรงต่อเวลา นั่นทำให้ปัจจัยด้านความเร็วของบรอดแบนด์ (ความเร็วอินเทอร์เน็ต) และพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากจุดนี้ด้อยลงไปก็อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพการทำงานของวัยทำงานกลุ่มนี้ได้
“บูดาเปสต์” ครองอันดับ 1 โดดเด่นในแง่ไหนบ้าง?
สำหรับ “บูดาเปสต์” เมือง Workation ที่ครองอันดับหนึ่งของรายชื่อในปีนี้ ได้รับคะแนนสูงในหมวดที่พัก (9.5/10) การขนส่ง (9.5/10) ความยั่งยืน (8.5/10) และความเร็วบรอดแบนด์ (8/10) เมืองหลวงของฮังการีแห่งนี้ มีชื่อเสียงในด้านสถาปัตยกรรมคลาสสิก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ราว 12 ล้านคนต่อปี และมีพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์มากกว่า 200 แห่ง มีย่านพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาและพื้นที่สีเขียวมากมาย ทำให้ที่นี่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับวัยทำงาน Digital Nomad
ส่วน “บาร์เซโลนา” เคยติดอันดับสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว แต่มาปีนี้หล่นลงไปหนึ่งอันดับ โดยได้รับคะแนนสูงสุดในหมวดหมู่การคมนาคมขนส่ง (9/10) ภูมิอากาศ (8.5/10) และที่พัก (8.5/10) ที่นี่ยังคงเป็นเมืองที่คนทำงานไฮบริดชื่นชอบ นอกจากการสนับสนุนวีซ่าให้กลุ่มคนทำงานแบบ Digital Nomad แล้ว ยังมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งที่ดีเยี่ยม ค่าครองชีพไม่แพง รวมถึงมีบรรยากาศโดยรอบที่มีชีวิตชีวา มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม และแสงแดดสดใสเกือบตลอดทั้งปี
ในขณะที่เมืองต่างๆ ในเอเชียก็ได้รับการกล่าวถึงอย่างโดดเด่นในรายชื่อของปีนี้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ปักกิ่ง สิงคโปร์ และจาการ์ตา ต่างก็ติดอยู่ใน 10 อันดับแรกของลิสต์รายการ แม้ปีนี้ปักกิ่งจะร่วงตกลงมา 1 อันดับมาอยู่อันดับที่ 4 จากเดิมอันดับ 3
ในอาเซียน สิงคโปร์ติดอันดับ 7 โดดเด่นเรื่องความเร็วเน็ต
ด้านสิงคโปร์ไต่อันดับขึ้นมาอย่างน่าประทับใจถึง 14 อันดับจากปีที่แล้ว โดยปีนี้ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 7 โดยเมืองแห่งนี้ทำคะแนนได้ดีเป็นพิเศษในหมวดคุณภาพบรอดแบนด์ (10/10) และความยั่งยืน (9/10) นอกจากการที่สิงคโปร์ได้รับการยกย่องว่ามีสนามบินที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของโลกแล้ว ยังได้รับการยกย่องให้เป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในเอเชียเป็นปีที่สองติดต่อกัน และกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะให้บริการ 5G ครอบคลุมทั่วทั้งเกาะภายในปี 2025
ท้ายที่สุดรายงานชิ้นดังกล่าวให้ข้อสรุปว่า การทำงานแบบไฮบริดมีแนวโน้มที่จะเร่งตัวเพิ่มขึ้นอีก และเราจะยังคงเห็นฉากทัศน์ที่บริษัทต่างๆ นำเสนอการทำงานรูปแบบนี้ให้แก่พนักงานมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อปรับปรุงสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานของพนักงาน และเพิ่มความน่าดึงดูดใจของพวกเขาในฐานะนายจ้าง