พนักงานในลอนดอนเข้าออฟฟิศแค่ 2.7 วัน/สัปดาห์ เหตุรถติด-อยากเซฟค่าเดินทาง
วัยทำงานชาวลอนดอนไม่ชอบไปทำงานในออฟฟิศ เพราะอยากประหยัดค่าเดินทาง และมองว่าการเดินทางฝ่ารถติดก็ยิ่งเสียเวลาทำงาน
KEY
POINTS
- ศูนย์วิจัยเมือง (Centre for Cities) เผย วัยทำงานชาวลอนดอนเข้าทำงานในออฟฟิศน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของพนักงานในเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ในโลก
- ปรากฏการณ์นี้อาจทำให้ลอนดอนขาดความน่าดึงดูดใจ ในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนระดับนานาชาติ และทำให้เมืองนี้เสียเปรียบทางการแข่งขัน
- สาเหตุที่ทำให้วัยทำงานชาวลอนดอนไม่อยากกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ ก็คือ อยากประหยัดค่าเดินทาง และไม่อยากเสียเวลาไปกับการฝ่ารถติดหนักในย่านกลางเมือง
เทรนด์การทำงานแบบไฮบริดยังคงพบเห็นได้ทั่วไปในสถานที่ทำงานของเมืองใหญ่ทั่วโลก โดยทั่วไปมักจะให้พนักงานทำงานที่บ้านได้สัปดาห์ละ 1-2 วัน สลับกับต้องเข้าออฟฟิศ 3-4 วันต่อสัปดาห์ แต่สำหรับ ‘ลอนดอน’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองใหญ่ศูนย์กลางธุรกิจโลก กลับพบว่า วัยทำงานชาวลอนดอนเข้าทำงานในออฟฟิศน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของพนักงานในเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ในโลก
ปรากฏการณ์นี้ทำให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลทั้งในเรื่องประสิทธิภาพการทำงาน และอาจส่งผลกระทบต่อความน่าดึงดูดใจของเมืองหลวงอังกฤษแห่งนี้ ในฐานะจุดหมายปลายทางการลงทุนระดับนานาชาติ
พนักงานในปารีส เข้าทำงานในออฟฟิสสูงสุด ส่วนลอนดอน-โตรอนโต ค่าเฉลี่ยต่ำสุด
ไม่กี่วันก่อนสำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานอ้างถึงผลวิจัยของ ศูนย์วิจัยเมือง (Centre for Cities) ระบุว่า พนักงานที่ทำงานประจำในกรุงลอนดอน ใช้เวลาในออฟฟิศเพียงครึ่งสัปดาห์เท่านั้น แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ก็ยังคงถือว่าต่ำอยู่ดี เมื่อเทียบกับการทำงานแบบไฮบริดของบรรดาเมืองสำคัญอื่นๆ รวม 6 แห่ง ตามที่ทีมวิจัยได้นำมาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบร่วมกัน ได้แก่ ปารีส นิวยอร์ก ซิดนีย์ และสิงคโปร์ โดยมีข้อมูลรายละเอียดดังนี้
"ปารีส" มีอัตราการเข้าทำงานในออฟฟิศสูงสุด เฉลี่ยอยู่ที่ 3.5 วันต่อสัปดาห์
"สิงคโปร์" มีอัตราการเข้าทำงานในออฟฟิศรองลงมา เฉลี่ยอยู่ที่ 3.2 วันต่อสัปดาห์
"นิวยอร์ก" มีอัตราการเข้าทำงานในออฟฟิศ เฉลี่ยอยู่ที่ 3.1 วันต่อสัปดาห์
"ลอนดอน" มีอัตราการเข้าทำงานในออฟฟิศเพียง 2.7 วันต่อสัปดาห์
"โตรอนโต" มีอัตราการเข้าทำงานในออฟฟิศเพียง 2.7 วันต่อสัปดาห์
ที่น่าสนใจคือ พนักงานรุ่นใหม่ชาว Gen Z ที่มีอายุระหว่าง 18 - 24 ปี พบว่า เข้าทำงานในออฟฟิศสูงกว่าเพื่อนร่วมงานที่มีอายุมากกว่า
ลอนดอนอาจเสียเปรียบทางการแข่งขันให้กับเมืองเศรษฐกิจอื่นๆ ระดับโลก
ร็อบ จอห์นสัน (Rob Johnson) และ ออสก้า เซลบี้ (Oscar Selby) ตัวแทนผู้เขียนวิจัยฉบับนี้ อธิบายเพิ่มเติมว่า การที่หลายๆ บริษัทในลอนดอน เรียกพนักงานกลับเข้าออฟฟิศค่อนข้างช้ากว่าเมืองใหญ่แห่งอื่นๆ ในโลกนั้น ถือเป็นการส่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่า ลอนดอนยังคงตามหลังเมืองคู่แข่งระดับโลกอยู่มาก
“การที่พนักงานในใจกลางลอนดอนมีการโต้ตอบแบบพบหน้ากันน้อยลง จะทำให้เมืองนี้เสียเปรียบในด้านผลงานเมื่อเทียบกับเมืองเศรษฐกิจใหญ่ระดับโลกเมืองอื่นๆ” พวกเขาวิเคราะห์
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าการระบาดใหญ่ได้เปลี่ยนรูปแบบการทำงานของชาวลอนดอนไปตลอดกาล หลังจากการระบาดโควิด-19 จบลง พนักงานส่วนใหญ่เคยชินกับการทำงานที่บ้าน และไม่เต็มใจที่จะกลับไปทำงานในออฟฟิศตามปกติ
ยกตัวอย่างเคสของ “เจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งที่ทำงานในสำนักงานสถิติแห่งสหราชอาณาจักร” รวมตัวกันหยุดงานประท้วง (เมื่อกลางเดือน ส.ค. 67 ที่ผ่านมา) หลังจากได้รับแจ้งนโยบายให้พนักงานเข้าทำงานในออฟฟิศอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน โดยสหภาพแรงงานยืนกรานว่า การทำงานจากที่บ้านไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อประสิทธิภาพการทำงาน
พนักงานในลอนดอน 42% มองว่าการทำงานที่บ้านช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
สำหรับสาเหตุที่ทำให้วัยทำงานชาวลอนดอนไม่อยากกลับเข้าทำงานในออฟฟิศ ก็คือ ภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ค่อนข้างสูง โดยพนักงานในลอนดอนสัดส่วนมากถึง 42% ระบุว่า การทำงานที่บ้านช่วยให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดลง (มากกว่าค่าเฉลี่ยของพนักงานในเมืองใหญ่อื่นๆ ที่ให้เหตุผลเรื่องนี้อยู่ที่เพียง 34%) รวมไปถึงพวกเขามองว่าการไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดหนักเพื่อเข้าออฟฟิศ ก็ช่วยให้ประหยัดเวลาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยเมืองฯ มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีการผ่อนปรนกฎเกณฑ์การกลับเข้าทำงานในสำนักงานอันแสนเข้มงวดเหล่านั้น โดยเฉพาะกับเมืองใหญ่ทุกแห่งในโลก แต่ถ้าองค์กรอยากให้พนักงานกลับเข้าออฟฟิศมากขึ้นกว่านี้ ควรมีสวัสดิการที่ดึงดูดใจ เช่น การช่วยเหลือในการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง หรือการวัดผลกระทบของการทำงานแบบไฮบริดว่ามีข้อดีข้อเสียต่อผลิตผลในระดับประเทศแค่ไหน เป็นต้น
ข้อมูลสรุปของรายงานชิ้นนี้เน้นย้ำว่า การที่พนักงานชาวลอนดอนไม่เต็มใจจะกลับเข้าออฟฟิศให้มากขึ้น อาจมีผลกระทบเกิดขึ้นต่อประสิทธิภาพการทำงานทั้งหมดในภาพรวม ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะทำให้เมืองใหญ่อย่างลอนดอนน่ากังวลมากขึ้นในแง่ของภาวะเศรษฐกิจของเมือง