ซีอีโอพันล้าน ‘เจย์ ชอว์ดรี’ แนะ อยากประสบความสำเร็จ ต้องหลงใหลในงานที่ทำ

ซีอีโอพันล้าน ‘เจย์ ชอว์ดรี’ แนะ อยากประสบความสำเร็จ ต้องหลงใหลในงานที่ทำ

‘หลงใหลในงานอย่างมีความหมาย สนุกกับมันเหมือนงานอดิเรก’ สูตรลับความสำเร็จของมหาเศรษฐีพันล้าน ‘เจย์ ชอว์ดรี’ ซีอีโอ Zscaler บริษัทรักษาความปลอดภัยบนคลาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าทรัพย์สินของเขาอยู่ที่ 9,500 ล้านดอลลาร์

KEY

POINTS

  • Jay Chaudhry ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zscaler บริษัทด้าน Cloud Security ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าบริษัท (ณ เดือนกันยายน 2567) อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ ประมาณ 811,250 ล้านบาท ส่วนมูลค่าทรัพย์สินของเขาอยู่ที่ประมาณ 9,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 308,275 ล้านบาท
  • เขาเผยเคล็ดลับความสำเร็จว่า ต้องทำงานด้วยความหลงใหล เพื่อบรรลุสิ่งที่มีความหมาย ทำงานหลักเหมือนเป็นงานอดิเรก เพราะคุณกำลังสนุกกับมัน สิ่งนี้จะช่วยผลักดันให้ก้าวหน้าไปได้ไกล
  • ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน แต่หากไม่มีความหลงใหล ก็จะไม่มีแรงผลักดันภายในที่จะทำงานต่อไป จึงขัดขวางเส้นทางสู่ความสำเร็จ

ในวงการไอทีและงานสายเทคฯ คงไม่มีใครไม่รู้จัก ‘เจย์ ชอว์ดรี’ (Jay Chaudhry) ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Zscaler บริษัทด้าน Cloud Security ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มหาเศรษฐีวัย 66 ปี เคยบริหารงานสายเทคฯ มาแล้วหลากหลายองค์กร ย้อนกลับไปในปี 1996 เขาและภรรยาได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแห่งแรก ที่มีชื่อว่า SecureIT ต่อมาในปี 1998 บริษัทดังกล่าวถูกขายไปในราคา 70 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยการขายหุ้นทั้งหมด หลังจากนั้นเขาก็ก่อตั้งบริษัทใหม่อีกสามแห่ง ได้แก่ AirDefense, CipherTrust และ CoreHarbor ซึ่งสุดท้ายแล้วบริษัททั้งหมดก็ถูกซื้อกิจการไป

ในปี 2008 เขาได้ก่อตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัยบนระบบคลาวน์ ชื่อว่า Zscaler ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งซีอีโอด้วยตัวเอง บริษัทนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันกลายเป็นบริษัทด้าน Cloud Security ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มูลค่าบริษัท (ณ เดือนกันยายน 2567) อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 811,250 ล้านบาท ส่วนมูลค่าทรัพย์สินของตัวชอว์ดรีเอง อยู่ที่ประมาณ 9,500 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 308,275 ล้านบาท (คำนวณจากอัตราค่าแลกเปลี่ยนที่ 32.45 ณ วันที่ 1 ต.ค. 67) ตามข้อมูลจาก Forbes

เรียกได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้นำองค์กรด้านไอทีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก แต่กว่าที่เขาจะมายืนอยู่จุดนี้ได้แน่นอนว่ามันไม่ง่ายเลย แล้วอะไรที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ได้? 

ความหลงใหลในงาน คือคีย์สำคัญแห่งความสำเร็จ!

ชอว์ดรี เปิดเผยกับสำนักข่าว CNBC ว่า ลักษณะนิสัยสำคัญในการทำงาน No.1 ที่จำเป็นในการประสบความสำเร็จก็คือ “ความหลงใหลหรือ Passion” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ความหลงใหลที่จะบรรลุสิ่งที่มีความหมาย” เนื่องจาก การมีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ จะช่วยให้ทำงานได้ง่ายขึ้นมาก เพราะคุณกำลังสนุกกับมัน งานหลักก็จะกลายเป็นเหมือนงานอดิเรก เมื่อทำงานด้วยความสนุก ก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณทำงานนั้นๆ ได้นานและได้รับผลลัพธ์ที่ดี เมื่อได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นประจำก็จะช่วยผลักดันคุณให้ก้าวหน้าในอาชีพการงานยิ่งขึ้น 

“มันคือเอฟเฟกต์โดมิโนของความสำเร็จที่เริ่มต้นจากความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะลงมือทำ” ชอว์ดรี กล่าว

ความหลงใหลนั้นมาจากความต้องการสร้างบางสิ่งใหม่ๆ ที่มีคุณค่าให้กับสังคมหรือโลกใบนี้ ในกรณีของ ชอว์ดรี คือการก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพต่างๆ ของเขา และเขาพยายาม ทุ่มเททำงาน เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้ดำเนินไปจนสำเร็จ เขามักจะพูดอยู่เสมอๆ ว่า “let’s do more (มาทำให้มันดียิ่งขึ้นกันเถอะ)”  

ไม่มีไฟในการทำงาน แม้ทำงานหนักแค่ไหนก็อาจไม่สำเร็จ 

นอกจากนี้เขายังมองว่า หากขาดความหลงใหล ประสบการณ์ที่คุณมีก็ไม่สำคัญ สำหรับคนที่ไม่มีไฟในการทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหนก็อาจไม่ประสบความสำเร็จ 

ซีอีโอพันล้าน ‘เจย์ ชอว์ดรี’ แนะ อยากประสบความสำเร็จ ต้องหลงใหลในงานที่ทำ

“ถ้าวัยทำงานไม่มีความหลงใหล ไม่สำคัญหรอกว่าจะมีประสบการณ์มากแค่ไหน ไม่สำคัญหรอกว่าจะทำงานอะไร หากคุณไม่มีแรงผลักดันภายในที่จะทำงานต่อไปเพื่อก้าวไปข้างหน้า คุณก็จะไม่มีความกระตือรือร้นที่จะทำงานใดๆ เลย และผลงานที่ได้ออกมาก็อาจไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก” ชอว์ดรี อธิบาย 

แต่ถ้าทำงานด้วยความหลงใหล ทำงานด้วยความสนุก สิ่งนี้จะผลักดันให้เกิดความสำเร็จต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เมื่อทำด่านแรกสำเร็จแล้วก็จะทำด่านต่อไปสำเร็จได้อีก ดังคำกล่าวที่ว่า “success drives success.” 

มหาเศรษฐี แนะ วัยทำงานต้องพัฒนา 2 ทักษะติดตัวไว้ แล้วจะเติบโตได้ไกลกว่า

ไม่เพียงเท่านั้น ชอว์ดรี ยังมีข้อแนะนำสำหรับวัยทำงานทุกคนว่า ควรพัฒนาตนเองในทักษะ 2 ด้านควบคู่กันไปตลอดอาชีพการงานของคุณ ได้แก่ ทักษะการเป็นนักสร้าง (Builder) และ ทักษะการเป็นนักปฏิบัติการ (Operator) ซึ่งทั้งทักษะสองอย่างนี้ เขานำมาเป็นหลักเกณฑ์ในการคัดเลือกบุคลากรเข้ามาร่วมงานในบริษัทของเขาด้วย

1. ทักษะการเป็นนักสร้าง 

ต้องมีความอยากรู้อยากเห็นและเรียนรู้ตลอดเวลา มีความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ คนกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จได้ในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระ (เช่น บริษัทสตาร์ทอัพ) ทีมงานสามารถพูดคุยงานกันได้อย่าวตรงไปตรงมา  พนักงานที่มีคุณลักษณะนี้มักจะสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่และช่วยให้บริษัทเติบโตได้

2. ทักษะการเป็นนักปฏิบัติ 

คนกลุ่มนี้จะประสบความสำเร็จได้ในสภาพแวดล้อมที่มีกระบวนการชัดเจน มักจะทำงานได้ดีในบริษัทขนาดใหญ่ พวกเขาเป็นพนักงานที่ชอบ “สภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างและระบบงานกำหนดไว้ชัดเจน” ซึ่งโดยทั่วไป บริษัทใหญ่ๆ มักจะสร้างระบบงานต่างๆ ขึ้นมามากมายเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานจำนวนมากทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน องค์กรประเภทนี้เหมาะสำหรับพนักงานที่มีทักษะนักปฏิบัติการ (Operator) พวกเขามีความสามารถในการสร้างทีม สร้างแรงบันดาลใจ สิ่งสำคัญเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทขยายธุรกิจและเติบโตได้มากขึ้นเช่นกัน

หากวัยทำงานมีทั้งสองทักษะนี้ จะยิ่งทำให้กลายเป็นพนักงานคุณภาพพรีเมียมที่ทุกบริษัทอยากได้ตัวไปร่วมงานด้วย เนื่องจากสามารถทำงานได้ทั้งบริษัทที่เพิ่งเริ่มต้น และบริษัทใหญ่ที่อยู่มายาวนาน ซึ่งการทำงานในบริษัทที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างกันดังกล่าว ย่อมต้องการใช้คนที่มีทักษะแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งทั้งสองทักษะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถเติบโตก้าวหน้าในอาชีพการงานได้ในเส้นทางของแต่ละบุคคล