โอม Cocktail ผู้บริหาร Gene Lab เผยหลักทำงาน 'ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ'

โอม Cocktail ผู้บริหาร Gene Lab เผยหลักทำงาน 'ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ'

“ความสำเร็จของ Gene Lab เริ่มจากการเป็นกบฏกับวิถีงานเดิม” ผู้บริหารค่ายสุดแกร่งอย่าง “ปัณฑพล ประสารราชกิจ” หรือ “โอม Cocktail” เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นของการบริหารธุรกิจค่ายเพลงยุคใหม่ ทั้งปรับวิธีคิด-วิธีทำงานแตกต่างจากบริษัทแม่

KEY

POINTS

  • เปิดหลักการทำงานของผู้บริหารค่ายสุดแกร่งอย่าง “ปัณฑพล ประสารราชกิจ” หรือ “โอม Cocktail” เมื่อการบริหารธุรกิจค่ายเพลงยุคใหม่ ต้องปรับวิธีคิด-เปลี่ยนวิธีทำงานให้ต่างจากบริษัทแม่
  • วิธีการทำงานต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว หากทำงานตามแพทเทิร์นเดิมๆ สุดท้ายก็จะย่ำอยู่กับที่ ไม่สามารถจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้ 
  • หลายครั้งคนทำงานมักจะเผลอมีความเชื่อผิดๆ ว่า วิธีการทำงานแบบเดิมอย่างที่เคยทํามา มันดีที่สุดแล้ว แบบนี้..จึงไม่พัฒนาไปข้างหน้า

ความสำเร็จของ Gene Lab เริ่มจากการเป็นกบฏกับวิถีงานเดิม” นี่คือคำพูดบางช่วงบางตอน จากปากผู้บริหารค่ายสุดแกร่งอย่าง “ปัณฑพล ประสารราชกิจ” หรือ “โอม Cocktail” ที่ได้ขึ้นบรรยายบนเวที Thailand HR Day 2024 ในหัวข้อการบริหารทีมให้ประสบความเร็จ เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2567 ที่ผ่านมา นอกจากเขาจะเป็นศิลปินนักร้องชื่อดังแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่เขาทำได้ดีไม่แพ้กันก็คือ การเป็นผู้บริหารค่าย Gene Lab ในเครือ GMM Grammy ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

โอมเล่าถึงหลักคิดและแนวทางการบริหารองค์กร ว่า จุดเริ่มต้นของการสร้างแผนกนี้ มีความตั้งใจแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่ เพื่อทดลองวิธีการทำงานใหม่ๆ ในสายงานการผลิตศิลปิน ออกแบบการบริหารงานได้อย่างอิสระ และเลือกบุคลากรได้เอง โดยเน้นเลือกคนที่เชี่ยวชาญแต่ละสาขาโดยตรง ผลลัพธ์คือ ได้ศิลปินที่เป็นเสาหลักของค่ายมาหลายคน ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นกำลังหลักในการสร้างรายได้ให้แก่องค์กรต่อไป

การคัดเลือกคนโดยที่ไม่เข้าใจเนื้องานที่ถ่องแท้ จะเป็นปัญหา!

แต่กว่าจะปั้นค่าย Gene Lab ให้ประสบความสำเร็จได้แบบนี้ ไม่ง่าย! เพราะต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทำงาน แนวทางการบริหารทีมแบบใหม่หมดตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เริ่มตั้งแต่การสรรหาบุคลากรเข้ามาทำงานในองค์กร โอม บอกว่า การคัดเลือกคนเข้ามาโดยที่เขาไม่เข้าใจเนื้องานที่ถ่องแท้ จะเป็นปัญหา 

“เนื่องจากสินค้าของเราคือ ‘ศิลปิน’ ที่มีอารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่สินค้าที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ ดังนั้นจึงต้องมีวิธีบริหารจัดการที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ ต้องเลือกบุคลากรที่ทำงานได้จริง ต้องปรับเปลี่ยนมายด์เซ็ตของพนักงานใหม่ ไม่มองว่าค่ายเป็นพ่อแม่ที่ดูแลศิลปินเหมือนลูก

แต่จากนี้ไปศิลปินกับค่ายจะเป็นพาร์ทเนอร์กัน มองศิลปินเป็นลูกค้า แล้วค่ายเป็นซัพพอร์เตอร์ให้เขา เช่น การทำการตลาด ส่วนการผลิตผลงานเพลงหรืองานด้านศิลปะต่างๆ ให้ศิลปินทำเต็มที่โดยที่ค่ายไม่เข้าไปยุ่ง แต่จะช่วยเสริมในส่วนที่เขาขาด การคัดเลือกบุคลากรเข้ามาทำงานที่นี่จึงต้องเข้าใจตรงนี้ใหม่ก่อน” เขาฉายภาพให้เห็นชัดเจน 

โอม Cocktail ผู้บริหาร Gene Lab เผยหลักทำงาน \'ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ\'

ความสำเร็จขององค์กร เริ่มจากการเป็นกบฏต่อวิถีงานเดิม

นอกจากนี้ ในแง่ของวิธีการทำงานก็ต้องปรับเปลี่ยนอยู่เสมอเช่นกัน เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว หากทำงานตามแพทเทิร์นเดิมๆ สุดท้ายก็จะวนลูปและย่ำอยู่กับที่ ติดกับดักตัวเองจนไม่สามารถจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่อิมแพคขึ้นมาได้ 

เจ้าของค่ายเล่าว่า Gene lab ประสบความสําเร็จค่อนข้างดีมากๆ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ถ้าย้อนกลับไปดูช่วงแรกของการก่อตั้งค่ายนี้ เราเริ่มต้นจากการ “เป็นกบฏ” กับรูปแบบการทำงานเดิม
แล้วมองหาวิธีทำงานใหม่ๆ จนในที่สุดก็สามารถพาองค์กรประสบความสำเร็จ ตอบโจทย์ทั้งในแง่ของรายได้ให้แก่บริษัท และในแง่ผลงานเพลงที่ศิลปินพอใจ 

แต่แม้ว่าจะสำเร็จแล้ว ก็ยังหยุดนิ่งไม่ได้ เพราะหากไม่ปรับตัวอยู่เสมอ แล้วมัวแต่ทำงานในรูปแบบเดิมซ้ำๆ ก็จะได้ผลลัพธ์เดิมๆ วนลูปกลับมาเจอปัญหาเดิมอีก ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจในอนาคต 

“โลกมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในฐานะหัวหน้างาน ผมเริ่มเห็นว่าเมื่อเราสําเร็จมาในระยะหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พนักงานผมเริ่มทํารูปแบบเดิมซ้ำๆ เริ่มเข้าสู่แพทเทิร์นเดิม เพราะเราจดจําวิธีการแบบนั้นมานาน ถ้าพูดแบบติดตลกก็คือ “วงจรอุบาทว์กลับมาอีกแล้ว” ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมานั่งคุยกันใหม่ว่า เราจะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปเหรอ” เขาตั้งข้อสงสัย

โอม Cocktail ผู้บริหาร Gene Lab เผยหลักทำงาน \'ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ\'

'ทำงานแบบเดิมอย่างที่เคยทํามา มันดีที่สุดแล้ว' เท่ากับ 'ไม่พัฒนาไปข้างหน้า'

อีกหนึ่งประเด็นเรื่องการทำงานให้บรรลุผลที่ไม่ควรมองข้าม เขาเริ่มสังเกตว่าคนทำงานบางครั้งก็ลืมไปว่า ผลลัพธ์คือสิ่งสําคัญที่สุด หลายคนมักจะพูดถึงแต่วิธีการมากกว่าผลลัพธ์ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เป้าหมายและผลลัพธ์สำคัญกว่าวิธีการ

ในการวางแผนงาน หรือการคัดเลือกบุคลากร หรือการทำงานอะไรก็ตาม หลักการหรือทฤษฎีที่ผู้บริหารคนนี้ให้ความสำคัญก็คือ เมื่อจะทําอะไรสักอย่าง ให้กําหนดเป้าหมายมาก่อน ไม่ต้องสนใจว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ แต่ต้องเอาเป้ามาก่อน จากนั้นให้ดูว่าตอนนี้เรายืนอยู่ตรงไหน? ห่างจากเป้าเท่าไหร่? เราขาดอะไร? เมื่อรู้ว่าขาดอะไร ก็เติมส่วนที่ขาดลงไป เพื่อให้เดินไปข้างหน้าได้ การที่รู้ว่าเราขาดอะไรบ้าง จะทำให้รู้ว่าเรามีอะไรอยู่ในมือไปพร้อมๆ กัน ซึ่งสิ่งนี้สำคัญ

เขาบอกอีกว่าสิ่งที่น่ากลัวคือ มนุษย์เรามักจะหลอกตัวเองได้ง่ายมาก ว่า วิธีการทำงานแบบเดิมๆ ที่เคยทำมานั้น มันจะให้ผลลัพธ์เหมือนเดิมเสมอ แต่ผลลัพธ์ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่กว่าวิธีการ หลายครั้งคนทำงานมักจะเผลอมีความเชื่อผิดๆ ว่า วิธีการทำงานแบบเดิมอย่างที่เคยทํามา มันดีที่สุดแล้ว แบบนี้..เราจึงไม่พัฒนาไปข้างหน้า

ดังนั้น อย่าหลอกตัวเองว่าวิธีเดิมๆ จะทำให้เราสำเร็จตลอดไป มันไม่ใช่! ถ้าวันนี้ทำงานตามวิธีเดิมแล้วพบว่า ผลลัพธ์ไม่ได้ตามเป้า (ทําเหมือนเดิมแล้วมันไม่เวิร์ค) แล้วทําไปทําไม ต้องกลับมาทบทวนว่าอะไรสำคัญกว่ากันระหว่าง "ผลลัพธ์" หรือ "วิธีการ"

โอม Cocktail ผู้บริหาร Gene Lab เผยหลักทำงาน \'ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่กว่าวิธีการ\'

เป้าหมายและผลลัพธ์ สำคัญกว่าวิธีการทำงาน (ตราบใดที่วิธีนั้นไม่ผิดศีลธรรม)

โดยเฉพาะการตัดสินใจในภาวะบีบอัดที่ "ผู้นำ" จะต้องรีบตัดสินใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าคิดหลายตลบแล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ ผู้บริหารคนนี้แนะนำว่า ให้กลับมามองที่เป้าหมายก่อน ดูว่าการที่จะดำเนินงานนั้นๆ มันยังสามารถรักษาเป้าหมายใหญ่ขององค์กรได้หรือไม่ หากไม่สามารถรักษาเป้าไว้ได้ หรือทำแล้วขัดกับเป้าหมาย การงานเหล่านั้นก็จะเปล่าประโยชน์ทั้งสิ้น 

"พบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องยากครับ แล้วก็ยังเป็นปัญหาในหลายๆ องค์กร เราต้องกลับมาทบทวนว่า ทํายังไงเราถึงจะไม่หลอกตัวเองว่า เรากําลังเบือนหน้าหนีออกจากเป้าหมายแล้ว ?" เขาตั้งคำถามชวนขบคิด

ท้ายที่สุดผู้บริหารค่ายเพลงย้ำว่า เป้าหมายก็คือผลลัพธ์ สองสิ่งนี้มาคู่กัน เมื่อเรากําลังกําหนดเป้าหมายการทำงานว่าเราอยากได้อะไร นั่นก็หมายความว่า เราต้องการผลลัพธ์สิ่งนั้น เมื่อทำงานในวิธีการใดวิธีการหนึ่งแล้วพบว่า ผลลัพธ์ไม่แสดงออกมาตามที่ต้องการ เราก็ประเมินหรือสันนิษฐานไว้ก่อนได้เลยว่า วิธีการนั้นไม่มีประสิทธิภาพ หากวิธีการนั้นดีจริง ผลลัพธ์มันต้องได้ งานต้องบรรลุผลอย่างที่เราตั้งใจไว้

ดังนั้น วิธีการทำงานควรเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตราบใดที่วิธีเหล่านั้นไม่ได้ผิดศีลธรรม ไม่ได้เบียดเบียนใคร เราก็ยังคงปรับเปลี่ยนมันได้ แต่การทํางานเพื่อให้เป้าหมายบรรลุต่างหากที่สําคัญยิ่งกว่า