หัวหน้าจู้จี้ อาจทำทีมพัง? ขาดความคิดสร้างสรรค์ประสิทธิภาพลดลง

หัวหน้าจู้จี้ อาจทำทีมพัง? ขาดความคิดสร้างสรรค์ประสิทธิภาพลดลง

หัวหน้าจู้จี้ ชอบจับผิด อาจทำทีมพัง? เพราะทำให้พนักงานขาดอิสระ ลดทอนความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพการทำงานถดถอย แต่ 'โรลันด์ บุช' ซีอีโอบริษัทซีเมนส์ ไม่เป็นแบบนั้น

KEY

POINTS

  • โรลันด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ เชื่อในการบริหารแบบให้อิสระพนักงาน โดยมีหลักการว่า "อย่าจู้จี้จุกจิก" เพราะการให้อำนาจและความไว้วางใจจะส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และความรับผิดชอบ
  • แม้ผู้นำบางคนประสบความสำเร็จจากการถูกจู้จี้จุกจิกมาก่อน แต่ผู้นำที่ดีที่สุดจะสามารถสร้างสมดุลระหว่าง "การให้อิสระ" และ "การรักษาความรับผิดชอบ" ซึ่งเป็นสิ่งท

ผู้บริหารบางคนชอบบริหารงานด้วยความเข้มงวด คอยกำกับให้พนักงานรายงานความคืบหน้าตลอดทั้งวัน ตำหนิบ่อยๆ เมื่อเกิดข้อผิดพลาด และให้คำสั่งละเอียดยิบในการทำงานแต่ละอย่าง แต่รู้หรือไม่? การบริหารงานแบบนั้นอาจมีข้อเสียกว่าที่คิด ผู้นำบางคนไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานแบบนั้น แต่มองว่าผู้นำหรือหัวหน้า ควรให้อิสระการทำงานแก่พนักงาน หนึ่งในผู้นำที่ยึดถือหลักการทำงานดังกล่าวก็คือ 'โรลันด์ บุช' ซีอีโอวัย 60 ปีของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง 'ซีเมนส์'

เขาไม่ใช่ผู้นำแบบจู้จี้ขี้บ่นหรือชอบออกคำสั่ง แต่เขากลับชอบวิธีบริหารทีมแบบปล่อยอิสระให้คนทำงานมากกว่า เขามองว่า การบริหารแบบเข้มงวดจะยิ่งทำให้พนักงานขาดความเป็นอิสระ และลดทอนความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน

กฎการบริหารพนักงานกว่า 300,000 คนของเขามีเพียงคำเดียว คือ "อย่าจู้จี้จุกจิก" บุชกล่าวในรายการพอดแคสต์ของ LinkedIn ที่ชื่อว่า "This Is Working"

เขาอธิบายว่า การให้อำนาจการทำงานแก่พนักงานอย่างอิสระ ไม่ได้แปลว่าจะปล่อยปละให้ไร้ระเบียบ แต่มันหมายถึงการปล่อยให้พนักงานทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่าพวกเขาถนัดที่สุด ทำได้ดีที่สุด แล้วความรับผิดชอบต่อการทำงานก็จะมาพร้อมกับการให้อำนาจนั้นเอง

เส้นทางสู่ตำแหน่งซีอีโอของ โรลันด์ บุช มาจากหัวหน้าที่ดีของเขา (ให้พื้นที่ทำงานอิสระ) 

บุช เป็นนักฟิสิกส์ที่ทำงานกับบริษัทซีเมนส์มานานกว่า 30 ปี เขาเริ่มต้นจากบทบาทงานในตำแหน่ง "ฝ่ายวิจัยและพัฒนา" ในปี 1994 จากนั้นก็ไต่เต้าขึ้นบันไดองค์กรประมาณทุกๆ สามปี จนกระทั่งในที่สุด ก็ได้เป็นซีอีโอในปี 2019 ตำแหน่งนี้ทำให้เขาได้รับค่าตอบแทน 9.04 ล้านดอลลาร์ (ราวๆ 306 ล้านบาท) ในปีที่แล้ว ตามรายงานของรอยเตอร์ 

บุชเล่าว่าในช่วงต้นของอาชีพ เขาเคยมีหัวหน้าที่ไว้วางใจให้เขาบริหารแผนกธุรกิจที่เขาไม่มีประสบการณ์เลย เขาใช้เวลาสามปีต่อมาทำงานและ “เรียนรู้สิ่งๆ ต่างๆ ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาก” โดยเฉพาะในการเปิดตัว “ระบบมัลติมีเดียสำหรับ BMW” ที่เขาทำผลงานออกมาได้ดี

เขามองว่าหัวหน้าแบบที่เขาได้เจอนั้น เป็นคนที่ให้ทั้งความท้าทายและให้พื้นที่ในการค้นหาบทบาทการทำงานที่แท้จริงแก่พนักงาน ซึ่งสิ่งนี้คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้พนักงานสามารถ "ก้าวหน้าในอาชีพ" ได้ และนั่นคือต้นแบบของผู้นำที่บุชต้องการจะเป็น

"ผมสามารถปล่อยมือจากงานได้" แต่มีข้อสำคัญคือ การจะทำเช่นนั้นได้ดี ผู้นำต้องรู้จักวางคนให้ถูกตำแหน่ง แม้บางครั้งในงานนั้นๆ ผมอยากทำมันในวิธีอื่น แต่ผมก็จะถามตัวเองก่อนว่า ทำไมผมถึงคิดว่าตัวเองรู้ดีกว่าคนที่รับผิดชอบงานนั้นโดยตรงล่ะ?" เขาอธิบายเพิ่มเติม

ผู้บริหารบางคนยืนยันว่า "การจู้จี้จุกจิก" กับลูกน้องเป็นสิ่งดี

แนวคิดการบริหารงานแบบให้อิสระแก่พนักงานนั้น ถูกยอมรับในกลุ่มผู้นำอีกหลายๆ คน ยกตัวอย่างเช่นมหาเศรษฐีอย่าง มาร์ค คิวบัน และ บิล เกตส์ พวกเขาสะท้อนความคิดเห็นว่า หัวหน้าที่คอยจับผิดลูกน้องทำให้บรรยากาศที่ทำงานอึดอัด แม้สมัยก่อนพวกเขาจะเคยเป็นคนชอบจู้จี้ก็ตาม แต่ตอนนี้ได้ปรับปรุงและหันมาเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่แล้ว

อย่างไรก็ตาม แนวคิดการบริหารงานในสไตล์ของ โรลันด์ บุช อาจไม่เหมาะกับผู้บริหารทุกคนเสมอไป ผู้นำที่ประสบความสำเร็จสูงคนอื่นๆ กลับบอกว่า การที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้ทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการถูกจู้จี้จุกจิกในการทำงานมาก่อน

อย่างเช่น ปีเตอร์ เบ็ค (Peter Beck) ซีอีโอมหาเศรษฐีของ Rocket Lab ที่บอกว่า ภาวะผู้นำที่พิถีพิถันและไม่หยุดนิ่งของเขาคือ "พลังพิเศษ" ของเขา เบ็คอธิบายตัวเองในการสัมภาษณ์กับ CNBC Make It เมื่อปีที่แล้วว่า ตัวเขาเป็นคนที่เสพติดการทำงาน ช่างจู้จี้ และหวาดระแวงต่อความล้มเหลว

"ถ้ามีอะไรผิดพลาด คุณต้องลงไปจัดการ การตัดสินใจทางเทคโนโลยีหรือธุรกิจที่แม้จะดูเล็กน้อย แต่ก็อาจส่งผลกระทบมหาศาลได้ ดังนั้น ในฐานะซีอีโอคุณต้องลงไปดูรายละเอียดจริงๆ" เขากล่าวเพิ่มเติม 

แม้ว่าความพร้อมและการจัดการปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เป็นคุณลักษณะของผู้นำที่ยอดเยี่ยม แต่หัวหน้าอาจมีชื่อเสียงในแง่ลบเมื่อพวกเขาทำมุ่งแต่จะจัดการมันมากเกินไป เช่น การคาดหวังรายงานละเอียดทุกเช้าและเย็น หรือขีดเขียนงานของพนักงานด้วยปากกาสีแดง ฯลฯ 

หัวหน้าจู้จี้จุกจิกเป็นสัญญาณเตือน Toxic Boss ลูกน้องไม่อยากทำงานด้วย

การศึกษาชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า พนักงานหลายคนเคยเผชิญกับประสบการณ์ที่น่าอึดอัดนี้โดยตรง ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เข้าข่ายการเป็น Toxic Boss โดยจากผลสำรวจของ The Harris Poll และบริษัทการตลาดระดับโลก Stagwell (สำรวจความเห็นชาวอเมริกันกว่า 1,200 คนในเดือนตุลาคม 2023) พบว่า

- กว่า 2 ใน 3 ของพนักงานกลุ่มตัวอย่าง เคยมีหัวหน้าที่เป็นพิษในช่วงใดช่วงหนึ่งของอาชีพ
- เกือบ 50% ของพนักงานกลุ่มตัวอย่าง เคยมีหัวหน้าที่ “เข้ามายุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดในงานของตนเมื่อมันไม่จำเป็น” 

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า.. แล้วผู้นำแบบไหนถึงจะเป็นผู้นำที่ดี? ทอม กิมเบล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมในที่ทำงาน ให้คำตอบประเด็นนี้ผ่าน CNBC Make It ในปี 2022 ไว้ว่า 

ผู้นำที่ดีที่สุดอาจไม่ใช่คนที่ปล่อยอิสระเกินไปและไม่ใช่คนที่จู้จี้เกินไป แต่ต้องเป็นผู้นำที่สามารถสร้างความสมดุลที่ดีระหว่างความใส่ใจและความรับผิดชอบในงานได้ ทอม กิมเบล ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมในที่ทำงาน บอกผ่าน CNBC Make It ในปี 2022

หัวหน้าแบบนี้หายากมาก เนื่องจากมีคนน้อยมากที่สามารถหาจุดที่ลงตัวระหว่างทั้งสองอย่างได้ กิมเบลกล่าวเพิ่มเติม แต่ก็ยังคุ้มค่าที่จะมองหา หรือพยายามที่จะเป็นหัวหน้าที่หายากแบบนี้เพื่อพัฒนาทีมและองค์กรให้เติบโตก้าวหน้าต่อไป

อ้างอิง: CNBC, LinkedIn This is work