เบรคตัวเอง ไม่ให้ 'ใช้เงินเกินตัว' ด้วย 'หลักจิตวิทยา'

เบรคตัวเอง ไม่ให้ 'ใช้เงินเกินตัว' ด้วย 'หลักจิตวิทยา'

ปัญหา “ใช้เงินเกินตัว” ไม่ได้เกิดจากการวางแผนการเงินผิดพลาดเท่านั้น แต่มีแง่มุมของจิตวิทยามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะบางคนก็ซื้อของฟุ่มเฟือยเพื่อยกฐานะตัวเองเฉยๆ

“ใช้เงินเกินตัว” ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นกับคนในสังคม เพราะที่ผ่านมาเรามักจะเห็นข่าวใครหลายคนที่ “เป็นหนี้” เพราะมีรายจ่ายมากกว่ารายได้ และบางครั้งรายจ่ายของบางคนก็หมดไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็นแต่ซื้อเพราะแค่อยากได้อยากมีเท่านั้นไม่ได้เน้นการใช้ประโยชน์ จนกลายเป็นที่มาของการใช้เงินเกินตัว ซึ่งปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมหรือนิสัยเท่านั้น แต่ยังอธิบายด้วยหลักจิตวิทยาได้คร่าวๆ ด้วย

ข้อมูลจาก U.S. News ระบุว่า ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องพยายามดิ้นรนเพื่อใช้ชีวิตตามฐานะและหาเลี้ยงตัวเองให้พอใช้ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินกล่าวว่าปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการ “ใช้เงินเกินตัว” ทั่วไปแล้วมาจากแรงกดดันทางสังคม การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และการใช้จ่ายตามอารมณ์

ทำให้ทุกวันนี้การหาเลี้ยงชีพได้กลายเป็นความท้าทายสำหรับชาวอเมริกันจำนวนมาก ข้อมูลจากรายงานการศึกษาของ Wells Fargo พบว่ามีคนอเมริกันถึง 42% ที่รายจ่ายสวนทางกับรายได้จนทำให้ใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก

แต่เหตุผลที่แท้จริงของปัญหานี้ผู้เชี่ยวชาญมองว่าไม่ได้เกิดจากการที่ผู้คนไม่นิยมทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของ “จิตวิทยา” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

การแก้ปัญหาการใช้เงินเกินตัว จะมองแค่เรื่องการเงินอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเจาะลึกลงไปถึงมิติทางจิตวิทยาของนิสัยการใช้จ่ายด้วย เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบยั่งยืนขวัญ หทัย นักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองและนักบำบัดการเงินที่ได้รับการรับรองจาก Epiphany Financial Therapy กล่าวในอีเมล (อ้างอิงใน U.S. News)

เหตุผลหลักที่ทำให้บางคนใช้เงินเกินตัว

1. แรงกดดันทางสังคม (Social Pressure)

ความอยากตามให้ทันคนอื่นอาจทำให้ผู้คนใช้จ่ายเกินตัว คือความเห็นส่วนหนึ่งของ เชอร์แมน สแตนด์เบอร์รี (Sherman Standberry) นักบัญชีและหุ้นส่วนผู้จัดการที่ My CPA Coach

โดยเขาอธิบายเพิ่มว่าการซื้อของที่คนอื่นซื้อเพื่อแสดงให้เห็นว่าตัวเองก็มีเงินซื้อเหมือนกัน อาจเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รถยนต์ บ้าน หรือแม้แต่การไปทริปในวันหยุดพักผ่อน

บางคนอาจมองว่าการใช้จ่ายเป็นรูปแบบหนึ่งของการพิสูจน์ตัวเองทางสังคม โดยโยงการซื้อของที่เป็นวัตถุมาที่คุณค่าในตัวเองหรือสถานะทางสังคม” ขวัญกล่าว

2. การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย (Lifestyle Creep)

การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมักเกิดขึ้นเมื่อค่าใช้จ่ายของเจ้าตัวเพิ่มขึ้นแบบไม่ตั้งใจเมื่อรายได้ของตัวเองเพิ่มขึ้นก็ยิ่งทำให้ใช้เงินเยอะขึ้นตามไปด้วย เช่น การชอปปิงและออกไปกินข้าวนอกบ้านบ่อยขึ้นหลังได้ขึ้นเงินเดือน

ดังนั้นแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่กลับทำให้มองว่ายังไม่มากพอกับความต้องการของตัวเอง เพื่อป้องกันปัญหานี้ เชอร์แมน แนะนำว่าควรมีแผนการเงินที่ชัดเจน และที่สำคัญจำเป็นต้องย้อนกลับมาดูทุกครั้งเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น

ซื่อสัตย์เรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและจัดสรรเงินให้เหมาะสม” เชอร์แมนกล่าว พร้อมย้ำว่าให้ตั้งเป้าว่าความตั้งใจในการใช้เงินคืออะไร

3. การใช้จ่ายตามอารมณ์ (Emotional Impulse Spending)

ข้อนี้อาจเป็นเรื่องที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่บางคนคิดไปเองเพื่อหาข้ออ้างในการซื้อของ แต่ความจริงแล้วการบำบัดด้วยการชอปปิงคือเรื่องจริง

เพราะข้อมูลจากการศึกษาเรื่อง The Benefits of Shopping Therapy โดย Ross School of Business แห่งมหาวิทยาลัยมิชิแกน พบว่าการชอปปิงกับความเศร้ามักเกี่ยวข้องกัน โดยเฉพาะในช่วงที่รู้สึกว่าควบคุมชีวิตตัวเองไม่ได้ หลายคนจึงมองว่าการชอปปิงช่วยให้พวกเขาควบคุมอะไรบางอย่างได้ และรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว

การใช้เงินเกินตัวมักเป็นมากกว่าการตัดสินใจทางการเงินที่ผิด แต่ยังเป็นสัญญาณของปัจจัยทางอารมณ์หรือจิตใจที่แฝงอยู่ด้วย” ขวัญกล่าว

นอกจากนี้ขวัญยังอธิบายเพิ่มว่าการซื้อของตามอารมณ์ของบางคนคือการหลีกหนีจากความเครียดหรือความเจ็บปวดทางอารมณ์ชั่วคราว แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเท่าไรนัก แต่เมื่อเข้าใจปัจจัยที่กระทบกับอารมณ์ได้มากขึ้นก็จะช่วยให้สามารถรับมือได้ดีขึ้นโดยที่ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายให้กับสิ่งที่ไม่จำเป็น

4. ไม่คำนึงถึงอัตราเงินเฟ้อ (Not Accounting for Inflation)

แม้อัตราเงินเฟ้อจะลดต่ำลงหลังพุ่งสูงสุดในปี 2022 แต่ผู้บริโภคต้องแบกรับต้นทุนของสินค้าทุกประเภทที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 19% ระหว่างปี 2019-2023 และถ้าไม่ปรับพฤติกรรมการใช้เงินให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะมารู้ทีหลังว่าตัวเองใช้จ่ายเกินตัวทุกเดือน เชอร์แมน จึงแนะนำว่าการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เอไอ หรือ แอปพลิเคชัน เข้ามาช่วยจัดการและติดตามการใช้เงินก็จะช่วยลดปัญหา “ใช้เงินเกินตัว” ลงไปได้บ้าง

5. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเครดิต (Credit Misconceptions)

พอมีบัตรเครดิต ก็ทำให้รู้สึกเหมือนมีเงินเพิ่ม เลยใช้เงินเยอะเกินไป” เชอร์แมนกล่าวถึงกรณีใช้บัตรผ่อนของ

เพราะว่าความจริงแล้วเมื่อใช้บัตรเครดิตผ่อนสินค้าส่วนมากก็จำเป็นต้องจ่ายดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมด้วย หมายความว่าต้องเสียเงินมากกว่าราคาจริงของสินค้า และถ้าไม่สามารถจ่ายเงินได้ตามกำหนดในแต่ละรอบบิลก็จะยิ่งเป็นการสร้างหนี้สินให้ตัวเอง

ทำอย่างไรไม่ให้ใช้เงินเกินตัว ?

สิ่งสำคัญของการแก้ปัญหา “ใช้เงินเกินตัว” คือต้องเข้าใจพฤติกรรมของตัวเองเพื่อนำมาปรับเปลี่ยนแนวคิดทางการเงิน โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินในวัยเกษียณ ซึ่งสามารถเริ่มต้นทำได้ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังนี้

1. ตระหนักรู้พฤติกรรมทางการเงินของตัวเอง

เริ่มจากการทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้ใช้เงินเกินตัว ที่อาจเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการทำรายรับรายจ่ายของตัวเองในเบื้องต้น เพื่อให้มองเห็นขีดจำกัดในการใช้จ่ายและนำไปสู่ควบคุมการใช้เงินของตัวเองให้มากขึ้น

2. เลือกระบบการจัดงบประมาณที่เหมาะสม

ตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและทำตามได้ไม่ยาก สามารถทำได้ทุกเดือนก็คือ ระบบแบ่งเงินใส่ซอง หรือ Envelope System เป็นการนำเงินสดแบ่งเป็นหมวดหมู่และใส่ซองไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าใช้จ่ายไม่เกินงบที่ตั้งใจไว้

3. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ในข้อนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีปัญหาด้านการเงินอย่างหนักก็สามารถทำได้ เพราะการมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินคอยแนะนำตั้งแต่เรื่องพื้นฐานนั้นช่วยให้เข้าใจสาเหตุทางอารมณ์ที่ทำให้ใช้เงินเกินตัว เพื่อหาวิธีจัดการทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และในบางกรณีก็อาจปรึกษานักจิตวิทยาร่วมด้วยได้

ทั้งนี้การแก้ปัญหา “ใช้เงินเกินตัว” ไม่ใช่เรื่องที่มองแค่มุมของวิธีวางแผนการเงินเท่านั้น แต่จำเป็นต้องเข้าใจพฤติกรรมของตัวเองเพื่อนำไปพิจารณาต่อในมุมมองด้านจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจใช้เงินด้วย

อ้างอิงข้อมูล U.S. News