เปิด 10 พฤติกรรมต้องระวัง เพื่อป้องกัน ‘ใช้เงินผิดปกติ’

พฤติกรรมการใช้เงินผิดปกติไม่ได้ส่งผลเสียแค่เรื่องเงิน แต่ยังลามไปถึงสุขภาพจิตและคนรอบข้าง ที่สำคัญคนที่มีพฤติกรรมเหล่านั้นมักจะไม่รู้ตัวหรือมองว่าเป็นปัญหา
แม้ว่า “การเงิน” จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมและการวางแผนของแต่ละคนเพื่อให้สามารถเก็บออมหรือสร้างรายได้ แต่หลายคนกลับมี “พฤติกรรมการใช้เงินผิดปกติ” หรือ Money Disorder ที่ไม่ได้ส่งผลเสียกับสถานะทางการเงินเท่านั้น แต่ยังทำให้มีปัญหาด้านสุขภาพจิตตามมา เช่น ความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้า รวมถึงส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างอีกด้วย
แม้ว่าการตัดสินใจทางการเงินผิดพลาดในบางครั้งอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่และสามารถหาทางออกได้ไม่ยากนัก แต่หากเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่คาดเดาเอาไว้แล้วว่าอาจจะเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันอีกก็ถือว่ากำลังเริ่มเข้าข่ายอาการใช้เงินผิดปกติ และจะส่งผลเสียอย่างต่อเนื่อง
ที่สำคัญคือผู้ที่กำลังประสบปัญหาการใช้เงินที่ผิดปกตินั้นมักจะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมีปัญหา จึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมและใช้เงินแบบผิดๆ ไปเรื่อยๆ แต่ในบางคนที่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาก็เลือกที่จะเก็บเป็นความลับส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความอับอายทำให้ไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
เช็กสัญญาณและอาการของปัญหาการใช้เงินผิดปกติ
1. เลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหาการเงิน (Financial Denial)
เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดโดยคนเหล่านี้จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลืมปัญหาทางการเงินทั้งหมดของตัวเอง เช่น ไม่ตรวจสอบยอดเงินในบัญชี ไม่เปิดจดหมายจากธนาคาร หรือไม่ทำตารางรายรับรายจ่ายส่วนตัว
2. รู้สึกผิดต่อการใช้เงินไม่ว่ามีเงินเยอะหรือน้อย (Financial Rejection)
มักเกิดกับคนที่ความมั่นใจในตัวเองต่ำ ส่วนหนึ่งเพราะเคยถูกสถาบันการเงินปฏิเสธ เลยเสียความมั่นใจเรื่องวางแผนทางการเงินไม่ว่าจะเป็นตอนมีหรือไม่มีเงิน เพราะเมื่อถูกปฏิเสธทางการเงินแล้วอาจจะรู้สึกผิดทุกครั้งที่เป็นหนี้ใครหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และบางครั้งก็ไม่กล้าใช้เงินจนเริ่มเกิดความเครียดหรือวิตกกังวล
3. ประหยัดเกินเหตุ (Extreme Under-Spending)
การใช้เงินน้อยเกินไปก็อันตรายไม่ต่างกับการใช้เงินมากเกินไป เพราะตั้งใจสะสมเงินออมอย่างเดียว ไม่ยอมนำออกมาใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำเป็นหรือเรื่องที่สร้างความสุขเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต และจะยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเมื่อเงินออมลดลงหรือเริ่มต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตัวเองกำหนดไว้จนชีวิตตึงเครียดเกินไป
4. ลงทุนไม่สนความเสี่ยง (Excessive Risk-Taking)
คนกลุ่มนี้มักนิยมเสี่ยงเพื่อความมั่งคั่งทางการเงินอยู่เสมอ แม้จะเป็นการแสวงหาผลกำไรจำนวนมากที่ไม่ได้รับประกันหรือไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง แต่ก็ยังเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองรวยขึ้นได้เร็วกว่าวิธีอื่น การลงทุนลักษณะนี้อาจส่งผลให้มีหนี้สินสะสมเป็นจำนวนมากไปจนถึงขั้นล้มละลาย
5. กลัวการลงทุน (Avoiding Taking Financial Risks Completely)
เพราะกลัวความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนคนกลุ่มนี้จึงเลือกที่จะไม่ลงทุนกับสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงและสร้างความมั่งคั่ง เช่น หุ้น ทองคำ หรือ อสังหาริมทรัพย์ แต่เลือกที่จะเก็บเงินออมไว้ในบัญชีที่มีดอกเบี้ยต่ำแทนเพื่อความสบายใจ
6. ทำงานหนักเกินไปเพื่อหาเงิน (Overworking Yourself for More Money)
หลายคนที่ประสบปัญหาทางการเงินมักทำงานหนักเกินความจำเป็นเพื่อหารายได้เพิ่ม จนไม่สามารถจัดการเวลาส่วนตัวในเรื่องอื่นได้เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือเวลาพักผ่อนส่วนตัว ทำให้พวกเขามันตกอยู่ในภาวะเหงา วิตกกังวล ซึมเศร้า หรือปัญหาทางจิตใจอื่นๆ โดยปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนที่ทำงานล่วงเวลา แต่เกิดกับคนที่เน้นตั้งใจทำงานเพื่อนหาเงินพิเศษโดยเฉพาะ เช่น การรับงานนอกออฟฟิศ เป็นต้น
7. ใช้เงินแบบไม่ควบคุมตัวเอง (Compulsive Expenditure)
บางคนอาจรู้สึกดีเมื่อได้ใช้เงิน เพราะมองว่าเป็นการซื้อความสุข ถือว่าเป็นผลเสียต่อการใช้จ่ายค่อนข้างมาก เพราะไม่ใช่แค่ซื้อของฟุ่มเฟือยหรือไปเที่ยวแบบไม่วางแผนจนงบบานปลายเท่านั้น แต่ยังตกเป็นเหยื่อการตลาดของสินค้าและบริการได้ง่ายด้วยเช่นกัน ทำให้ยิ่งเสียเงินเพิ่มขึ้นและบางครั้งก็ไม่ใช่ของที่จำเป็นหรืออยากได้จริงๆ
8. ติดการพนัน (Addictive Gambling)
ถ้าเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากเล่นพนันมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหนเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น หรือเล่นไปเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ไปจนถึงมองว่าการพนันอาจเป็นทางออกของปัญหาการเงินได้ถ้าหากชนะรางวัลใหญ่ ถือว่าเป็นปัญหาการใช้เงินผิดปกติขั้นรุนแรงจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสร้างหนี้สินจำนวนมากให้ตัวเองและนำไปสู่ปัญหาล้มละลาย
9. ปกปิดเรื่องเงินกับคู่รัก (Financial Infidelity)
แม้บางคนจะมองว่าดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับการใช้ชีวิตคู่ที่ปกปิดเรื่องการเงินกันเล็กๆ น้อยๆ เช่น ไม่บอกราคาจริงของสินค้าที่ซื้อมา ซ่อนใบเสร็จ นำเงินส่วนกลางมาใช้มากกว่างบที่ตั้งไว้ ไปจนถึงแอบไปกู้เงินโดยไม่บอกอีกฝ่าย นอกจากจะทำให้เกิดปัญหาด้านการเงินสะสมจนแก้ไขได้ยากในภายหลังแล้ว ยังส่งผลต่อชีวิตคู่เป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องความไว้วางใจที่อาจทำให้เกิดการหย่าร้างได้ในอนาคต
10. หวังรวยด้วยหวยหรือโชคชะตา (Building Extra Hopes on Financial Luck)
สำหรับใครที่หวังพึ่งโชคชะตาโดยเฉพาะตั้งตาตั้งตารอวันที่จะถูกลอตเตอรีรางวัลที่หนึ่ง ก็ถือว่าอาจกำลังมีปัญหาทางการเงินเช่นกัน และจะกลายเป็นภัยคุกคามทางการเงินที่ร้ายแรงในอนาคต เพราะทำให้ละเลยการวางแผนทางการเงินหรือการลงทุน เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะโชคดีได้เงินมาแบบง่ายๆ หรือบางคนก็เอาเงินไปทุ่มเทกับการเสี่ยงโชคเป็นจำนวนมาก จนสุดท้ายอาจไม่เหลือเงินเก็บและมีปัญหาด้านหนี้สินตามมา
พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสัญญาณของปัญหาทางการเงินอันดับต้นๆ ดังนั้นต้องหมั่นสังเกตพฤติกรรมของตัวเองและคนรอบข้างว่าเข้าข่ายหรือไม่ และหากพบว่าตัวเองมีพฤติกรรมลักษณะนี้ก็ควรยอมรับความจริงเพื่อจะได้หาทางออกหรือแก้ไขในระยะยาวได้ทัน รวมถึงอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ
อ้างอิงข้อมูล : Silverman Associates