Gravity เป็นญาติของ Life of Pi

Gravity เป็นญาติของ Life of Pi

นัทขว้าง สิรสุนทร เขียนถึง Gravity

ถ้าหนังเป็นใครสักคน ผมคงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า Gravity น่าจะเป็นเพื่อนของ Cast Away หรือไม่ก็เป็นญาติสนิทกับ Life of Pi ที่ฉายไปเมื่อต้นปี

ทั้งสามเรื่องนี้มี “ทาง” ของหนัง รูปแบบของพล็อตและการหยอดสถานการณ์ละม้ายคล้ายกัน หากมองอย่างผิวเผินมันก็คือ เรื่องราวที่ตัวละครเดินทางไกลไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง และระหว่างทางนั่นเอง ได้เกิดสิ่งที่พลิกผันขึ้น เป็นเหตุให้แคแรคเตอร์ต่างๆ ต้องกระเด็นกระดอน เคว้งคว้าง และมีช่วงเวลาที่ได้เรียนรู้ชีวิต ทั้งด้านที่อ่อนหวานและขมขื่น

แน่นอนว่าใครได้เป็น “ชัค” (ทอม แฮงค์) ใน Cast Away เป็น “พาย พาเทล” ใน Life of Pi หรือเป็นดร.ไรอัน(แซนดร้า บูลล็อค)ใน Gravity คงได้กลับมาและใช้เวลาอยู่พักใหญ่ ที่จะมี “ชีวิตใหม่” อีกครั้ง ซึ่งต้องวางตัวใหม่ หายใจใหม่ พูดจาแบบใหม่ เพราะมันไม่ต่างอะไรจากการผ่านสงคราม ที่มีศพเกลื่อนกลาดในสนามรบ

Gravity มีความน่าเห็นใจอยู่อย่างหนึ่งตรงที่ มันต้องโฆษณาตัวเองว่าเป็นเรื่องทำนอง มฤตยูอวกาศบ้าง อวกาศลึกลับล้าง ทั้งที่ถ้าคุ้ยและแคะกันจริงจัง หนังเรื่องนี้ของ Alfonso Cuaron ไม่ได้มีอะไรที่แตะประเด็นหลักเกี่ยวกับอวกาศเลยในความรู้สึกของผม

ธีมหลักของ Gravity ไม่ได้พูดถึง “อวกาศ” เหมือนที่ Titanic ไม่ได้พูดเรื่อง “เรือล่ม” และ Insider ไม่ได้พูดเรื่อง “บุหรี่” เพราะทั้งกระสวยอวกาศและเรือยักษ์ อีกทั้งโรงงานบุหรี่ เป็นแค่กุสโลบายในการพาคนดูไปสัมผัสกับความงามของหนัง

“ไรอัน” เป็นแพทย์และเป็นหนึ่งในทีมงานที่เดินทางไปกระสวยอวกาศเพื่อปฏิบัติภารกิจสำคัญ แต่เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดอยู่นอกโลก ทำให้บางคนต้องเสียชีวิต เธอต้องหาทางกลับโลกให้ได้โดยที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเครื่องไม้เครื่องมือมากนัก

ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวที่สุดในความรู้สึกของเธอ ไรอัน เหมือนได้ค่อยๆ เรียนรู้หลายอย่างที่ไม่เคยจากชีวิต และค่อยๆ พบด้านที่งดงาม ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตคือสิ่งสวยงาม ชีวิตคือการรักษาและเดินไป ไม่ใช่อยากจะทำลายและจบสิ้น

พอยท์สำคัญของหนังที่ผมคิดว่า เป็นหมุดไมล์ในการทำความเข้าใจเรื่องราวที่ชัดมากก็คือ ไรอัน บอกว่าเธอเคยมีลูกสาวอายุ 4 ขวบ แต่ลูกตายไปจากการหกล้มหัวฟาดพื้น และหลังจากนั้น เธอก็เป็นอะไรก็ได้ อยู่ไม่อยู่ก็ได้ เจออะไรก็ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ พอลูกตาย ทุกอย่างก็จบ ไม่มีความหมาย หนทางที่พยายามจะเลือกก็คือ ทำงานเยอะๆ ออกเช้าๆ กลับดึกๆ เพื่อจะนอน ไม่ต้องคิดอะไรอีก

ถ้าเอาแง่นี้ไปจับ “ไรอัน” มีสภาพเหมือนซากศพ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความหวัง รู้สึกเนือยเฉยกับชีวิต การร่วมไปกับกระสวยอวกาศ นัยหนึ่งก็เพื่อหาอะไรทำ แต่แล้วกิจกรรมหาอะไรทำนี่เอง ได้ลอกคราบตัวตนเธอใหม่ เธอได้เห็นชีวิตอีกด้าน พบความตายของเพื่อน และรู้ว่าที่นอกโลกนั้น เธอได้เห็นความงามแบบที่คนบนโลกไม่เห็น

กระสวยอวกาศที่โดนชนอยู่นอกโลก ติดต่อใครไม่ได้ ผลักไสให้ ไรอัน ได้เรียนรู้ตัวตนใหม่ มีฉากหนึ่งที่ผมชอบมากในตอนที่เธอกลับสู่ยานสำเร็จกลางเรื่อง หนังจับภาพของ ไรอัน นอนลอยเคว้ง ห่อตัว และมีสายระโยงระยางจากเครื่อง

ฉากนี้เป็นศิลปะมาก เพราะมันคือภาพจำลองคล้ายของทารกที่ลอยอยู่ในท้องมารดา สายไฟระโยงระยางก็คือ สายรกสายท่ออาหารของเด็ก

ถามว่าทำไมหนังต้องใช้ภาพแบบนี้ ? เราต้องกลับมานั่งคิดก่อนว่า หนังมันเดินไปทางทิศไหน ?

ไรอัน เสียลูกสาว เธอจึงรู้สึกว่าตัวเองได้จบสิ้นไปด้วย แต่สถานการณ์ทำให้เธอกลับมาเหมือนมีชีวิตใหม่จากการเจอประสบการณ์นอกโลกกับกระสวยอวกาศ สาววัยกลางคนอย่างเธอจึงถอยหลังกลับไปเหมือนเด็กเกิดใหม่ ซึ่งก็คือ “ทารกน้อย” ที่ค่อยๆ เติบโตเป็นอีกหนึ่งชีวิต อีกครั้ง

ฉากต่างๆ มากมายที่เธอกระเด็นกระดอนลอยเคว้งในอวกาศที่ควบคุมไม่ได้ เป็นการแสดงสถานะที่เธอเป็นอยู่กับชีวิตที่คอนโทรลไม่ได้ ฉะนั้น การที่เธอพยายามกระเสือกกระสน ดิ้นรน เพื่อจะรอดตายจากสะเก็ดเศษซากต่างๆ ที่วิ่งมาชน

มันก็คือการที่เธอหนีตาย เพื่อจะมีชีวิตรอดจากความรู้สึกเสียศูนย์และสูญเสีย เรื่องลูก

การกระเสือกกระสนในอวกาศ จะต่างอะไรหรือ กับแม่ที่ต้องมีชีวิตต่อ หลังลูกตาย ?

เรื่องราวที่อยู่นอกโลก อยู่ในอวกาศจึงเป็นเรื่องของ ไรอัน แต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่ แมตต์ หรือเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน มีคำพูดหนึ่งที่สำคัญมาก เป็นการพูดผ่านๆ ในหนัง นั่นก็คือ ตอนที่ ไรอัน ติดต่อสื่อสารกับโลก เธอบอกว่า ดร.ไรอัน เป็นคนเดียวที่ “รอดชีวิต”

คำว่า “รอดชีวิต” ก็คือการตีความคำพูดนี้ เธอได้รอดชีวิตจากการที่ผ่านเรื่องเสียลูกสาวไป เธอกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง และรู้ว่า เวลาที่เหลืออยู่ มันก็มีแง่มุมง่ายงามและงดงาม ที่เธอจะมีชีวิตอีกครั้ง ความง่ายงาม สวยงามและงดงามคืออะไรล่ะ (ถ้ามันไม่ใช่เสียงหมาร้อง ที่เธอได้ยิน ไม่ใช่เสียงของพ่อร้องเพลงกล่อมลูก ที่เธอได้ฟังทางเครื่องสื่อสาร)

ถ้าไม่คิดมากจนเกินเหตุ ภาพที่กระสวยชิ้นเล็กชิ้นน้อยพุ่งสู่โลกในตอนท้าย จะต่างอะไรจากดาวที่ก่อเกิดชีวิตใหม่และไรอันก็ตกลงทะเล ดิ้นรน ว่ายน้ำเพื่อขึ้นฝั่ง สิ่งเหล่านี้คือ “ชีวิตใหม่”

เพราะเธอรู้สึกได้ถึง gravity อันไม่ได้แปลว่า แรงโน้มถ่วง แต่เป็นแรงขับเคลื่อน ที่จะให้ตัวเธอ ก้าวเดินต่อไป

หนังที่ดีมากเรื่องหนึ่งของปีนี้อย่าง Gravity จึงไม่เคยพูดเรื่อง “การสำรวจอวกาศ“ เหมือนที่ Titanic ไม่เคยสนทนา “เรือ” และ Life of Pi ไม่ได้พูดเรื่อง “การขนสัตว์”