เที่ยวตามใจไปมิวนิก ตอนที่ 2
หลังจากเที่ยวซอกแซกไปในย่านเมืองเก่าเตอนที่แล้ว วันนี้ไปปิกนิกกันค่ะ เช้านี้แวะซื้อกาแฟกับแซนด์วิชจากคาเฟ่ระหว่างทางไปกินที่สวนอังกฤษกันค่ะ...
อะไรนะ ! ไม่ผิดค่ะเราจะไปปิกนิกกันที่สวนอังกฤษ สวนกลางเมืองในกรุงมิวนิก สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
"น้ำในคลองมีคลื่นแรง"
สวนอังกฤษ หรือ Englishcher Garten เป็นสวนกลางเมืองที่มีการจัดแต่งภูมิทัศน์ตามแบบสวนอังกฤษที่นิยมกันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีเนื้อที่กว้างใหญ่มากกินอาณาเขตถึง 2,400 ไร่ (ปัจจุบันครองตำแหน่งสวนกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป) มีเส้นทางเดินและเส้นทางจักรยานท้าทายนักปั่นถึง 78 กิโลเมตร มีสนามหญ้ากว้างๆให้คนเมืองหนาวนอนอาบแดดอุ่นๆในฤดูร้อน รวมทั้งยังมีลานเบียร์ ร้านอาหาร ร้านชา เรียกว่าเข้ามาแล้วแทบไม่อยากออกไปไหน แต่เราจะไม่ไปไกลขนาดนั้นค่ะ เวลาน้อยต้องใช้สอยต้องให้คุ้มค่า
เราเข้าสวนอังกฤษด้านติดกับถนน PrinzregentenstraBe กันดีกว่า เดินเข้าไปไม่ถึงร้อยเมตรก็จะถึงริมคลองที่หนุ่มๆสาวๆสายสปอร์ตมักไปรวมตัวกัน คลองที่ว่านี้มีขนาดพอๆกับคลองหลอดตรงกระทรวงกลาโหมบ้านเรา ต่างกันที่น้ำในคลองช่างน่าลอยมากๆเพราะทั้งสะอาดใสสีสวย แถมยังคลื่นแรงจัดเหมาะแก่การผจญภัยบนยอดคลื่นยิ่งนัก
เช้านี้เราจะปักหลักอยู่ริมคลองชมหนุ่มๆสาวๆเล่นกระดานโต้คลื่นเป็นวิวแกล้มอาหารเช้าแบบชิลล์ๆ สองฝั่งคลองเต็มไปด้วยหนุ่มสาวสวมชุดเว็ทสูทอุ้มกระดานโต้คลื่นเข้าแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยสลับจังหวะกันลงเล่นโต้คลื่นตามจังหวะซ้ายทีขวาที
ส่วนใครจะอยู่ได้นานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับฝีมือ ล้มแล้วก็ว่ายน้ำกลับขึ้นมาต่อแถวเล่นใหม่ ผู้ชมอย่างเราก็สนุกกับการลุ้นคนโน้นทีคนนั้นทีจนเกือบลืมกินอาหารเช้าที่เตรียมมาเสียสิ้น ไลฟ์สไตล์ของคนมิวนิกในช่วงหน้าร้อนช่างมีชีวิตชีวาจริงๆ
"ดอริก ไอออนิก คอรินเธียน"
จากสวนอังกฤษไปเที่ยวกรีกกันต่อเลย ที่จตุรัสเคอนิจส์พลัตซ์ (Konigsplatz) หรือ King Square ประตูเมืองขนาดใหญ่ที่ขนาบด้วยอาคารที่ชวนให้คิดว่ายืนอยู่ในกรีกมากกว่าในเยอรมัน แถมสถาปัตยกรรมทั้ง 3 แห่งในกลุ่มนี้ยังประกอบไปด้วย เสาดอริก ไอโอนิก และคอรินเธียน เหมือนที่เคยเรียนในสมัยมัธยม ต่างกันตรงภาพที่เคยคิดกับภาพความจริงนั้นห่างกันลิบโลก
จัตุรัสนี้กว้างใหญ่มากจริงๆ อาคารตรงกลางเป็นประตูเมือง Propylaen สร้างขึ้นตามแบบศิลปะนีโอ-คลาสสิกในช่วงคริสตศตวรรษที่ 18 ผู้คนเริ่มเบื่อหน่ายกับศิลปะบาโรกซึ่งมีรสนิยมหรูหราฟุ่มเฟือย หันมาแสวงหาคตินิยมแบบกรีกและโรมันที่ความงามต้องมีกฎระเบียบ มีความชัดเจน มีเหตุผลและความเสมอภาค ประตูเมืองมีลักษณะคล้ายประตูชัยที่เปิดให้รถแล่นผ่านไปได้ โดยมีอาคารโถงตรงกลางโดดเด่นด้วยเสาแบบดอริก (หัวเสาเรียบง่าย) ขนาบด้วยอาคาร 2 ชั้นทั้งซ้ายและขวา ตามประวัติกล่าวว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในคราวที่กษัตริย์อ็อตโต แห่งกรีซ ขึ้นครองราชย์
อาคารที่ประดับด้วยเสาแบบไอออนิก (หัวเสาที่มีรูปทรงคล้ายก้นหอยม้วนลงมาทั้งสองด้าน)เป็นที่ตั้งของ Glyptothek พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงงานประติมากรรมกรีกและโรมัน ส่วนอาคารที่งดงามด้วยเสาโครินเธียนอันมีลายประดับหัวเสาที่วิจิตรมากที่สุดในบรรดาหัวเสาคลาสสิกทั้ง 3 แบบเป็นพิพิธภัณฑ์ Staatliche Antikensammlung หรือ State Antiquities Collection จัดแสดงศิลปวัตถุและของใช้ในชีวิตประจำวันในสมัยกรีกและโรมัน
มาถึงจัตุรัสอันกว้างใหญ่ซึ่งเคยเป็นที่รวมพลของเหล่านาซีในอดีต คราวนี้ก็ต้องเลือกว่าจะเข้าชมพิพิธภัณฑ์หลังไหน ช่วงที่ไป State Antiquities Collection ดูเหมือนจะมีการซ่อมแซม เราจึงใช้เวลาอยู่ที่ Glyptothek ซึ่งกำลังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับศิลปะอีทรัสกัน (Etruscan อายุราว 800 ก่อนคริสตกาล) อาจกล่าวได้ว่าชาวโรมันได้รู้จักและได้รับอิทธิพลกรีกโดยผ่านศิลปะอีทรัสกัน ก่อนที่จะได้สัมผัสกับศิลปะกรีกจริงๆ
ศิลปวัตถุที่นำมาจัดแสดงนั้น ประกอบไปด้วยเครื่องปั้นดินเผาเขียนลายที่ใช้ในชีวิตประจำวัน มีทั้งภาชนะบรรจุเหล้าองุ่น แจกัน ประติมากรรมขนาดเล็ก ใหญ่ ที่น่าสนใจคือมีการจำลองสุสานของชาวอีทรัสกัน แสดงให้เห็นถึงงานจิตรกรรมฝาผนังที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ การจัดวางสิ่งของในสุสานตามความเชื่อหลังความตายที่ว่าผู้ตายจะนำเอาของใช้ส่วนหนึ่งที่เคยใช้ในขณะมีชีวิตอยู่นำไปใช้ในโลกใหม่ด้วย ดังนั้นในสุสานจึงจำเป็นต้องบรรจุของรักของหวงของผู้ตายลงไปด้วย
นอกจากนี้ยังจัดแสดงโลงศพหินที่มีรูปประติมากรรมรูปบุคคลอยู่บนฝาโลง โกฐสำหรับบรรจุเถ้ากระดูก รวมไปถึงเครื่องประดับที่แสดงให้เห็นว่าชาวอีทรัสกันเป็นชนชาติที่มีความเชี่ยวชาญในการทำเครื่องทองขั้นสูงทีเดียว
ชมนิทรรศการเต็มอิ่มแล้ว เรามานั่งกินมื้อกลางวันชมบรรยากาศอันกว้างใหญ่ของจัตุรัสตรงคาเฟ่ซตรงระเบียงหน้าทางเข้าพิพิธภัณฑ์ เรียกได้ว่าเป็นมุมสงบ ผ่อนคลาย มีลมพัดเย็นดีมาก บางคนมานั่งอ่านหนังสือ หลายคนมาจับจองบันไดทางขึ้นสำหรับพักผ่อน บ้างก็เป็นจุดนัดพบ ได้นั่งชมเมืองมุมนี้รู้สึกราวกับได้ย้อนอดีตกลับไปยุคกรีกโรมันเลยทีเดียว
"3 สหายสาย ART"
ถัดมาจากจตุรัสเคอนิจส์พลัตซ์ เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ในกลุ่มของพินาโกเธค 3 แห่ง ได้แก่ Alter Pinakothek Neue Pinakothek และ Pinakothek der Moderne
รักต้องเลือกอีกแล้ว เพราะว่าแต่ละพิพิธภัณฑ์ล้วนมีจุดเด่นที่ต่างกัน Alter Pinakothek จัดเป็นพี่ใหญ่สุดในกลุ่มเป็นทั้งสถานที่จัดแสดงและเก็บรักษางานสะสมของรอยัลคอลเลคชั่น ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยผลงานศิลปะชิ้นเยี่ยมของศิลปินยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 14-18 ไม่ว่าจะเป็นผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี่ รูเบนส์ รวมไปถึงศิลปินของกลุ่มเฟลมมิชและดัตช์ ถ้าจะดูให้ครบเชื่อว่าเดือนเดียวคงไม่น่าจะพอ
Neue Pinakothek เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใจเลือกแล้วว่าขอมาที่นี่ เพราะว่าอยากจะชมคอลเลคชั่นของศิลปินในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ ซึ่งมีทั้งมาเนต์ โมเนต์ เรอนัวร์ เซซาน โกแกง แวนโกะห์ แต่มีอันฝันสลายเนื่องจากปิดซ่อมแซม
มีอันต้องไปซบอกที่ Pinakothek der Moderne แทน ทำให้ได้เติมเต็มกับผลงานของ”เดอะ บริดจ์” กลุ่มศิลปินหัวก้าวหน้าของเยอรมัน แล้วเดินเข้าสู่โลกเหนือจริงไปกับผลงานของซัลวาดอร์ ดาลี เรอเน่ มากริต ร่วมด้วย จอร์จ บาร์ค ปิกัสโซ่ ที่พากันจูงเราเข้าไปสัมผัสเส้นบางๆระหว่างความจริงกับจินตนาการที่เชื่อมโยงกันอยู่บ้าง หากบางขณะก็ผลักให้เตลิดไปไกลอยู่เหมือนกัน สายอาร์ตที่รักศิลปะสมัยใหม่ถ้าพลัดหลงเข้าไปที่นี่ มีอันได้ลืมโลกเป็นแน่ !
"ค่ำคืนแสนประทับใจ"
ฤดูร้อนในมิวนิกมอบเวลาช่วงกลางวันให้ยาวนานเป็นพิเศษ กว่าพระอาทิตย์ตกดินเวลาก็เกือบจะสามทุ่ม ทำให้รู้สึกเหมือนว่ายังมีเวลาไปไหนๆได้อีกโดยไม่ต้องรีบกลับ ค่ำนี้ก็เช่นกัน
(ภาพ:ณิชยา เทวกุล ณ อยุธยา)
หลังจากนั่งรถผ่าน Friedensengel อนุสาวรีย์นางฟ้าแห่งสันติภาพ หลายรอบทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เข้าไปชมนางอย่างใกล้ชิด
Friedensengel หรือ Angel of Peace เป็นประติมากรรมรูปเทพีไนกี เทพีแห่งชัยชนะ ขนาด 6 เมตร ประดิษฐานอยู่เหนือเสาโครินเธียนสูง 36 เมตร ดูเด่นเป็นสง่ามากโดยเฉพาะในความค่ำคืนที่ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับรูปปั้นเทพีไนกีสีทองอร่ามตา ปรับระดับสายตาลงมาหน่อยความงามของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลง หากเป็นความโดดเด่นที่อยู่ท่ามกลางความร่วมรื่นของสวนแม็กซิมิเลี่ยน ริมแม่น้ำอีซาร์ แม่น้ำสายหลักของเมืองมิวนิก
(ภาพ: ณิชยา เทวกุล ณ อยุธยา)
อนุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งสันติภาพในโอกาสครบรอบ 25 ปี การยุติสงครามฟรังโก-ปรัสเซีย (เยอรมัน) แม้ว่าเยอรมันจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะเหนือฝรั่งเศส หากสันติภาพ คือ สิ่งที่สำคัญเหนือกว่า ดังนั้นในมือซ้ายของเทพีไนกีจึงถือช่อมะกอก สัญลักษณ์อันสื่อความหมายถึงสันติภาพ ส่วนมือขวาถือรูปปั้นขนาดเล็กของเทพีอะธีน่า เทพเจ้าแห่งสงครามและปัญญา
ในขณะที่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเรามากที่สุด คือ เสาประดับอาคารทรงสี่เหลี่ยมที่อยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ อาจเป็นเพราะชินกับภาพถ่ายวิหารกรีกที่ปรักหักพังไปตามกาลเวลา พอได้มาเห็นความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมแบบนีโอ-คลาสสิกที่นำคตินิยมแบบกรีกมาสร้างสรรค์อีกครั้ง ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก ชาวกรีกเชื่อว่าเสาเป็นสิ่งค้ำยันที่มีชีวิต จึงนำเอาประติมากรรมรูปสตรีมาทำหน้าที่รองรับชั้นหลังคาแทนเสา สาวๆแต่ละนางนั้น ถือว่าเป็นความงามในแบบอุดมคติ มองไม่เบื่อเลยจริงๆ
หลังจากถ่ายภาพจนอิ่มเอมแล้ว เราเดินลงไปตามบันไดพบกับลานกว้างด้านล่างพบว่ากำลังมีงานเทศกาลในช่วงฤดูร้อนพอดี ช่างโชคดีอะไรอย่างนี้ ที่ว่างตรงกลางจัดเป็นลานเบียร์ล้อมรอบไปด้วยร้านขายของขบเคี้ยวสำหรับแกล้มเบียร์ มีเวทีนักร้องเสียงดีขับกล่อม การทำตัวกลมกลืนไปในฝูงชนทำให้พบกับรอยยิ้มและบรรยากาศที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ เป็นความสุขเรียบง่ายที่ดีต่อใจไม่น้อย
บันทึกการเดินทางในมิวนิกช่วงฤดูร้อน ปิดฉากด้วยภาพความประทับใจในงานแสดงแสง เสียง และดอกไม้ไฟ ณ อนุสาวรีย์นางฟ้าแห่งสันติภาพ ที่บังเอิญจัดขึ้นพอดี ขอบคุณโชคชะตาและความใจดีของทุกคนที่มิวนิก สำหรับค่ำคืนอันสวยงาม
ย.ป.ล. ยอดไปเลยค่ะ !!
ขอขอบคุณ : สถานกงสุลใหญ่ ณ นครมิวนิก และ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)