'ต่ออายุใบขับขี่' ปี 2563 ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
รวมสิ่งที่ต้องทำก่อนไป "ต่ออายุใบขับขี่" ในปี 2563 ที่ช่วยทำให้ประหยัดเวลาและมั่นใจในการขับขี่
ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ กรมการขนส่งทางบกได้เปิดให้ผู้ขับขี่สามารถจองคิวออนไลน์สำหรับ "ต่ออายุใบขับขี่" ได้อีกครั้ง แต่การบริการที่ว่านี้คือการปรับรูปแบบการดำเนินการเป็นแบบ New Normal ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
สำหรับผู้ขับขี่ที่ใบอนุญาตหมดอายุ เราได้สรุปการเตรียมตัวทั้งหมดไว้ดังนี้
จองคิวผ่าน DLT Smart Queue
อย่างแรกที่ต้องรู้กันเลยว่า การ “ต่ออายุใบขับขี่” จะให้สิทธิ์แก่ประชาชนที่ จองคิวผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ( ใส่ลิงค์ ซึ่งสามารถติดตั้งได้ทั้งระบบ IOS และ Android หรือสามารถเข้าจองคิวได้ที่เว็ปไซต์ https://gecc.dlt.go.th
ในช่วงการปรับรูปแบบดำเนินการตามวิถีใหม่แบบ New Normal นี้ กรมการขนส่งทางบกได้มีมาตรการเยียวยาให้แก่ผู้ที่ใบอนุญาตขับรถสิ้นอายุ ซึ่งหมายว่ากรมการขนส่งทางบกได้ลดขั้นตอนจากในรูปแบบปกติ ได้แก่
1.สำหรับผู้ที่ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 1ปี ในระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ยกเว้นการทดสอบข้อเขียน แต่ยังต้องเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกายและอบรมภาคทฤษฎี
2.สำหรับผู้ที่ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 3 ปี ในระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ยกเว้นการทดสอบขับรถ แต่ยังต้องเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย อบรมภาคทฤษฎี และทดสอบข้อเขียน
3.สำหรับผู้ที่ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก สิ้นอายุเกิน 3 ปี ในระหว่างวันที่ 31 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 ยกเว้นการทดสอบขับรถ แต่ยังต้องรับการทดสอบสมรรถภาพของร่างกาย และอบรมภาคทฤษฎี
ในขั้นตอนแรกนี้ เมื่อรู้แล้วว่าเราอยู่ในประเภทไหน ก็ปฏิบัติตามขั้นตอนนั้น และจองคิวผ่าน DLT Smart Queue ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางที่ช่วยลดความแออัดที่กรมขนส่งทางบก และให้การบริการที่รวดเร็วยิ่งขึ้นได้
อบรมผ่านระบบ e-Learning
แม้การต่ออายุใบขับขี่แต่ล่ะประเภท จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป ถึงเช่นนั้นกรมการขนส่งทางบก ก็ได้ระบุข้อกำหนดให้การต่ออายุต้องผ่านระบบ e-Learning ซึ่งมีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่
ขั้นตอนที่ 1 : เข้าระบบ e-Learning ของกรมการขนส่งทางบก ผ่านเว็บไซต์ www.dlt-elearning.com
ขั้นตอนที่ 2 : คลิกปุ่ม "ลงทะเบียนเข้ารับการอบรม" กรอกข้อมูล เลขบัตรประจําตัวประชาชน, เลขที่ใบอนุญาตขับรถ, วันอนุญาตและวันสิ้นอายุใบอนุญาตขับรถ เลือกการอบรมตามใบอนุญาตขับรถที่ประสงค์จะต่ออายุ จากนั้นคลิกที่ปุ่ม "ขั้นตอนต่อไป"
ขั้นตอนที่ 3 : ชมวิดีโอการอบรมให้จบ ทั้งนี้ ระหว่างรับชมวิดีโอจะมีคำถาม 3 คำถามที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาขึ้นมาให้ตอบ ผู้เข้าอบรมจะต้องตอบให้ครบทั้ง 3 คำถาม มิฉะนั้นจะต้องเริ่มฟังใหม่ทั้งหมด
ขั้นตอนที่ 4 : หลังจากรับชมวิดีโอจบแล้ว ให้คลิกที่ปุ่ม "ขั้นตอนสุดท้าย" จากนั้นยืนยันตัวตนโดยกรอกข้อมูลเลขบัตรประจําตัวประชาชน และเลขที่ใบอนุญาตขับรถ เพื่อรับผลการอบรม จากนั้นคลิกที่ปุ่ม "เสร็จสิ้นการอบรม"
ขั้นตอนที่ 5 : ตรวจสอบผลการอบรมได้ที่หน้าแรกของเว็บไซต์ โดยคลิกที่ปุ่ม "ตรวจสอบสถานะการอบรมออนไลน์" จากนั้นกรอกเลขบัตรประจําตัวประชาชน และคลิกที่ปุ่ม "ตรวจสอบสถานะ"
หาก ผ่านการอบรมแล้ว จะปรากฏรูปตามตัวอย่าง ซึ่งสามารถนำข้อมูลนี้ไปแจ้งเจ้าหน้าที่กรมขนส่งพื้นที่ใกล้บ้าน ตามวันและเวลาที่จองคิวไว้ผ่าน แอพพลิเคชั่น "DLT Smart Queue"
เตรียมตัวให้พร้อม
เมื่อจองคิว และอบรม e-Learning เรียบร้อยแล้ว ทางระบบจะทำการนัดหมายเพื่อดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
สำหรับเอกสารประกอบคำขอรับหรือต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือผู้ประจำรถ ที่ต้องเตรียมไป คือ บัตรประชาชนใบอนุญาตเดิม ใบรับรองแพทย์ หนังสือรับรองการผ่านการอบรมและทดสอบ คำขอที่ดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน และผลผ่านการอบรมผ่านระบบ e-Learning ที่สิ้นอายุในระหว่างที่กรมการขนส่งทางบกงดให้ดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถ อนุโลมให้ใช้ประกอบการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถได้ไม่เกินวันที่ 30 กันยายน 2563 เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างภาระส่งผลกระทบต่อประชาชน
นอกจากเรื่องเอกสารสิ่งหนึ่งที่จำเป็นหลังการต่ออายุใบขับขี่คือการเตรียมความพร้อมเฉพาะตัวทั้งเรื่องการจัดสรรเวลา การเตรียมสุขภาพ รวมถึงการทำ “ประกันรถยนต์” ซึ่งให้ความคุ้มครองแก่ผู้เอาประกันภัยเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันจนสร้างความสูญเสียหรือความเสียหายอันเกิดจากการใช้รถยนต์
เมื่อ “ต่ออายุใบขับขี่” แล้ว ก็ต้องอย่าลืมต่อ “ประกันรถยนต์” ซึ่ง “ประกันรถยนต์” มีหลายประเภท ตั้งแต่ ประกันชั้น 1,2,2+และ ชั้น3 โดยแต่ละบริษัทก็มีรายละเอียดและโปรโมชั่นที่แตกต่างกันไป แถมในบางบริษัทประกันภัยยังมีทั้งแบบที่เป็น ประกันรายปี ประกันรายเดือน และประกันระยะสั้น ซึ่งเหมาะกับพฤติกรรมการใช้รถของเราเอง ดังนั้นก่อนคิดจะซื้อประกันก็ต้องศึกษารายละเอียดของบริษัทประกันที่เราจะซื้อให้ดี
ทั้งนี้คำแนะนำของเราคือการเปรียบเทียบ เช็ครีวิว ก่อนซื้อประกันรถ ก่อนซื้อควรเปรียบเทียบอย่างน้อย 3 บริษัท พร้อมๆกับพิจารณาความน่าเชื่อถือ ความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อและประสานงาน การให้คำปรึกษาและแก้ปัญหา รวมถึงอัตราค่าเบี้ยประกันภัยต้องเป็นธรรม อาจจะเริ่มจากการเสิร์ชข้อมูลทางออนไลน์ ไม่ว่าเข้าไปที่เว็บไซต์บริษัทโดยตรง หรือ เช็คตามกระทู้รีวิวจากผู้ใช้งานเพื่อสำรวจว่ามีอะไรบ้างที่เราควรรู้จากผู้ที่เคยใช้จริง
สนใจทำประกันรถยนต์ คลิก