ที่มา...อาหารเทศกาลคริสต์มาส
'เทศกาลคริสต์มาส' มาถึงแล้ว ชาวคริสต์จะฉลองกันด้วยอาหาร ให้ของขวัญกัน ไปโบสถ์และสวดรำลึกถึงพระคุณของพระเจ้า
อาหารเทศกาลคริสต์มาส มีอะไรบ้าง ก่อนถึงวันคริสต์มาส ชาวคริสต์ทั่วโลกจะเตรียมอาหารเพื่อฉลองกันกับครอบครัวในคืนวันคริสต์มาสอีฟ (24 ธันวาคม) และฉลองกันต่อในวันที่ 25 ธันวาคม
ทำไมถึงฉลองวันคริสต์มาสในวันที่ 25 ธันวาคม แม้เป็นข้อถกเถียงกันมาเป็นพันปีว่า วันเกิดของพระเยซูไม่ปรากฏแน่ชัดในคัมภีร์ไบเบิ้ล ทว่าจักรพรรดิคอนสแตนติน แห่งจักรวรรดิโรมัน กษัตริย์องค์แรกที่ยอมรับศาสนาคริสต์ ได้กำหนดวันคริสต์มาส เป็นวันที่ 25 ธันวาคม เมื่อปี ค.ศ.336 อย่างไรก็ดี ชาวคริสต์ระบุว่า วันคริสต์มาสอาจมีที่มาจากชาวยิว (พระเยซูเป็นชาวยิว) เมื่อราว 160 ปี ก่อนคริสตกาล ก่อนที่พระเยซูจะเกิด ชาวยิวจัด “เทศกาลแห่งแสง” หรือ The Jewish Festival of Lights หรือ Hanukkah ด้วยบทสวดบูชาพระเจ้าในโบสถ์ในเยรูซาเล็ม ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงปลายเดือนธันวาคม
เมื่อมีเทศกาลเฉลิมฉลองย่อมต้องมีอาหาร อาหารคริสต์มาส ยุคแรก ๆ ถ้าเกิดจากชาวโรมก็ต้องเป็นอาหารจากภูมิภาคนั้น ซึ่งไม่ใช่ ไก่งวง แน่นอน ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปี ชาวคริสต์ในยุโรป (ซึ่งไม่มีไก่งวง) ฉลองอาหารคริสต์มาสด้วย ห่านอบ เหตุผลเพราะไก่ในฟาร์มให้ไข่ (ไม่ควรฆ่า) วัวในทุ่งที่เลี้ยงก็ผลิตน้ำนมให้ (ไม่ควรฆ่า) ห่านจึงเหมาะสมเพราะห่านออกไข่เฉพาะฤดูกาล หรือออกไปล่าห่านป่า หมูป่า ไก่ป่า นกยูง ก็ดูเหมาะสม เพราะตัวใหญ่ให้เนื้อเยอะ เล่ากันว่า ควีนเอลิซาเบธที่ 1 ชื่นชอบเสวย ห่านอบ ในเทศกาลคริสต์มาส ส่วนพระบิดา พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ชอบ ไก่งวงอบ ตอนนั้นยุโรปนำเข้าไก่งวงจากพ่อค้าชาวเติร์กแล้ว แต่เมนูไก่งวงก็ยังไม่ได้รับความนิยมในอังกฤษจนถึงสมัยวิคทอเรียน ที่เริ่มนำเข้าไก่งวงจากอเมริกา ชาวคริสต์ยุคปัจจุบันฉลองเมนูคริสต์มาสด้วย ไก่งวงอบ คริสต์มาสพุดดิ้ง คุกกี้ขิง ฟรุตเค้ก เค้กช็อกโกแลต เค้กขอนไม้ มินซ์พาย พายฟักทอง เครื่องดื่มได้แก่ Eggnog, Mulled wine ฯลฯ จนถึงกลางศตวรรษที่ 20 ไก่งวงอบ มาแทนที่ห่านอบหรือเมนูเนื้อสัตว์อื่น ๆ อย่างสมบูรณ์
นอกจากเมนูเนื้อ ๆ ที่เป็นเมนคอร์สประจำเทศกาลคริสต์มาสแล้ว ชาวคริสต์ก็ฉลองเทศกาลขอบคุณพระเจ้าด้วยไก่งวงเช่นกัน บางประเทศในยุโรปมีอาหารประจำท้องถิ่น บริเวณพื้นที่ติดทะเลก็ฉลองคริสต์มาสด้วยอาหารทะเล ในยุโรปเหนือซึ่งอากาศหนาวจัด และไม่ใช่แหล่งกำเนิดของไก่งวง เช่นชาวฟินแลนด์ มีเมนูประจำชาติ Gravlax หรือแซลมอนรมควัน เป็นเมนูเฉลิมฉลอง พร้อมเครื่องดื่ม Mulled wine (ไวน์แดงต้มกับเครื่องเทศ) ชาวเดนมาร์กมีเมนู หมูอบกับหนังหมูและมันหมู เมนูห่านอบกับไก่งวงอบเป็นส่วนน้อย ส่วนชาวเยอรมัน นิยมกินลูกหมูอบ เป็ด ห่าน ปลา และไส้กรอก เครื่องดื่มได้แก่ เบียร์และ Mulled wine ของหวานได้แก่ ฟรุตเค้ก, มาร์ซิแพน (Marzipan) และ Christstollen หรือ สโตลเล่นเค้ก (ขนมปังหวานใส่ลูกเกดและผลไม้อบแห้ง) สำหรับชาวดัตช์ นิยมกินเนื้ออบ เป็ด กระต่าย ไก่ฟ้า และไก่งวง
ชาวอิตาลีที่สืบรากเหง้ามาจากชาวโรมัน มีอาหารประจำเทศกาลคริสต์มาส เรียกว่า “ปลา 7 ชนิด” หรือ Feast of the Seven Fishes ปลากับอาหารทะเล 7 อย่าง ส่วนใหญ่นำมาทอด มีหลักฐานว่าน่าจะมาจากชาวอิตาลีตอนใต้ เมื่ออพยพไปอยู่อเมริกาก็นำอาหารประจำเทศกาลไปฉลองในนิวยอร์ก เมื่อราวปลายทศวรรษ 1800 ในชุมชน Little Italy เวลาต่อมา ปลาและอาหารทะเล 7 อย่าง ก็กลายเป็น 8 หรือ 9 อย่าง คนอิตาเลียนเขากินเยอะและเป็นครอบครัวใหญ่ ทำอาหารเฉลิมฉลองก็ต้องจัดให้เยอะไว้ โดยอาหารหลัก ๆ ได้แก่ ล็อบสเตอร์ ปลาซาร์ดีน บาคาเยา (ปลาค็อดแห้งทอด) ปลาไหล กุ้ง หมึก หมึกยักษ์ หอยแมลงภู่ หอยตลับ ฯลฯ ทำทั้งอบ ทอด ต้ม ทำซอส ใส่ในพาสต้า ใส่ในสลัด และต้องมีขนมปัง ปาเนตโตเน่ (Panettone) ขนมปังหวานใส่ลูกเกดและผลไม้อบแห้งทรงโดม บ้างทำเป็นทรงแปดเหลี่ยม มีต้นกำเนิดจากมิลาน
ปาเนตโตเน่ ดังมาก เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสก็มีผู้นำเข้ามาจำหน่ายตามห้างสรรพสินค้า ชาวคริสต์นิยมกิน คิงเค้ก (King Cake) หรือ Twelth-night Cake ขนมเค้กเทศกาลคริสต์มาสใส่ไส้ต่าง ๆ ทำเป็นรูปมงกุฎบ้าง ทำเป็นทรงกลมมีรูตรงกลางบ้าง ใส่ตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ที่สื่อถึงคิง (กษัตริย์สามองค์ที่ไปเฝ้าพระเยซูหลังประสูติ)
ชาวอังกฤษแต่แรกนั้นกินคิงเค้กในวันที่ 5 มกราคม แต่ในปี 1640 โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ (ผู้ปกครองอังกฤษสมัยนั้น) ห้ามกินอาหารในวันนั้น ชาวเมืองจึงเปลี่ยนมากินในช่วงคริสต์มาส เวลาผ่านไปของหวานประจำเทศกาลเริ่มใส่เครื่องเทศเช่น กานพลู อบเชย ลูกจันทน์เทศ และขิง ซึ่งเป็นของนำเข้าราคาแพง เริ่มมาจากนักรบครูเสด ที่นำเครื่องเทศจากเอเชียและตะวันออกสู่ยุโรป ในบางพื้นที่ใช้เครื่องเทศแทนเงินหรือแลกเปลี่ยนสินค้า เมื่อน้ำตาลราคาถูกลง ชาวยุโรปก็กินของหวานประจำเทศกาลกันอย่างหรูหรา เช่น Marzipan ที่กลายเป็นแฟชั่นของหวาน ในยุควิคทอเรียนตกแต่งกันอย่างฟุ่มเฟือย ทำเป็นหิมะโปรยปราย ทิวทัศน์ รูปดวงดาวและเกล็ดหิมะ
ในซีกโลกใต้ไม่มีไวท์คริสต์มาส เพราะเป็นฤดูร้อน ซานตาคลอส ไม่ต้องสวมเสื้อหนา ๆ สีแดงกันหิมะ ก็แค่ใส่หมวกแดงแต่อาจนุ่งกางเกงว่ายน้ำ หรือชุดเซิร์ฟไปเล่นน้ำทะเล หิมะไม่ตกในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ชาวออสซี่จึงฉลองอาหารคริสต์มาสตามแบบประเพณีของชาวอังกฤษ แต่ก็เพิ่มเมนูอาหารทะเลหลากหลาย และมี “ปาเนตโตเน่” เป็นของหวานยอดนิยม ส่วนชาวนิวซีแลนด์ฉลองเมนูคริสต์มาสแบบคนอังกฤษ มีไก่งวง แกะ แฮมอบ มินซ์พาย คริสต์มาสพุดดิ้ง สโตลเล่นเค้ก ปาเนตโตเน่ และเค้กขอนไม้
และเนื่องจากอากาศร้อน คริสต์มาสของชาวดาวน์อันเดอร์จึงมักฉลองกันกลางแจ้ง หรือในสวนหลังบ้านด้วยบาร์บีคิว สลัดผักสดตามฤดูกาล ผลไม้เช่นเชอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ และของหวานเช่น พาฟโลวา (Pavlova เค้กหน้าเมอแรงก์โปะผลไม้สด)
เทศกาลคริสต์มาสที่กำลังจะมาถึง ซิงก์เบเกอรี่ ชั้น G โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์ จัด “ลิตเติ้ล คริสต์มาส มาร์เก็ต” ให้ช็อปขนมฉลองเทศกาลคริสต์มาส ในบรรยากาศฤดูหนาว พร้อมเครื่องดื่มอุ่น ๆ อย่างไวน์ร้อน Gluhwein,ช็อกโกแลตร้อน, กาแฟอิตาเลียน, ขนมได้แก่ คุกกี้คริสต์มาส, คุกกี้เฮเซลนัทรสน้ำผึ้ง, ขนมปังทรัฟเฟิล, โลลีป๊อป, สโนว์แมน, สโตลเล่นเค้ก, ขนมปังขิง, ปาเนตโตเน่, เค้กขอนไม้ ฯลฯ เปิดบริการทุกวัน เวลา 07.00 – 19.00 น. สอบถามโทร.0-2100-1234 ต่อ 6485