‘ยักษ์กะโจน’ จำหน่าย ‘เบเกอรี่-อาหารปลอดสารพิษ’
อีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารปลอดภัย เชิญได้ที่ร้าน “ยักษ์กะโจน” จำหน่าย “เบเกอรี่-อาหารปลอดสารพิษ” โดยนำผลผลิตจากลูกศิษย์ “อาจารย์ยักษ์” และ อาจารย์ “โจน จันได” ทั่วประเทศ มาปรุงพร้อมเสิร์ฟ ที่ “หมู่บ้านสัมมากร” รามคำแหง 112
วันนี้ “หมูหวานชวนชิม” ขอแนะนำร้าน “ยักษ์กะโจน” อยู่ในหมู่บ้านสัมมากร ถนนรามคำแหง 112 เพิ่งเปิดบริการมาได้ประมาณ 2 เดือน ถือว่ายังเป็นร้านอาหารน้องใหม่ บรรยากาศของร้านนี้มีที่นั่งริมทะเลสาบ รับลมเย็นสบายแบบรักษาระยะห่างทางสังคม
ชิม “เบเกอรี่-อาหารปลอดสารพิษ” วันนี้ได้ชิม “มัฟฟินแตงไทย” มีรสหวานน้อยนุ่มฟูหอมกรุ่นกลิ่นแตงไทยเบาๆ เป็นกลิ่น “แตงไทย” แท้ๆจากธรรมชาติ ดื่มกับ “น้ำขิงมะขาม” เย็นๆ เผ็ดนิดๆหวานน้อยๆ เข้ากันได้ดีแบบนี้ถือว่าใช่เลย
ส่วนอาหารเขาจะเสิร์ฟแบบ Menu of the Day แล้วแต่ว่า วันนี้มีวัตถุดิบอะไรบ้าง หมูหวานได้ชิม “ผัดไทยปู” กับ “ผัดฉ่าปลา” อร่อยอย่างรู้ที่มา เพราะพืชผักต่างๆมาจากเกษตรกรปลอดสารพิษ สัตว์ทะเล กุ้ง-หอย-ปู-ปลา จากเรือประมงขนาดเล็ก ผ่านขั้นตอนการปรุงอาหารแบบใส่ใจต่อสุขภาพ ไม่ใส่ผงชูรส และน้ำมันหอย ดีต่อสุขภาพกายและใจ
"มัฟฟินแตงไทย"
“ยักษ์กะโจน” เกิดจาก “อาจารย์ยักษ์” ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร จับมือกับ “อาจารย์โจน” หรือ โจน จันได จัดตั้ง บริษัท ธรรมธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคมจำกัด ได้อบรมลูกศิษย์ผ่านเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ หรือสวนพันพรรณ เพื่อส่งเสริมให้คนพึ่งพาตนเอง และมีความมั่นคงทางอาหาร ผู้ที่ผ่านการอบรมได้กลับไปปลูกพืชผักต่างๆให้พอกินก่อน โดยไม่ใช้สารพิษ สารเคมี ใช้หมักสมุนไพรรสจืดตลอดการเพาะปลูก ตามหลักกสิกรรมธรรมชาติ
ดังนั้น “ธรรมธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม” แห่งนี้จึงรวบรวมผลผลิตจากลูกศิษย์ “ยักษ์กะโจน” ทั่วประเทศ เพื่อส่งมอบวัตถุดิบ อาหารแท้ที่ปลอดภัยในราคาที่เป็นธรรม อย่างเท่าเทียม มาร่วมกันสร้างสังคมที่ทำให้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงอาหารปลอดภัยและอิ่มอร่อยอย่างรู้ที่มา กลายเป็นที่มาของ “เบเกอรี่-อาหารปลอดสารพิษ” ดังที่หมูหวานนำเสนอไว้เบื้องต้น
คุณ A รัชนี เพิ่มพูนประเสริฐ และคุณB รัชวัลย์ เพิ่มพูนประเสริฐ ผู้รังสรรค์เมนูในร้าน “ยักษ์กะโจน” เล่าว่า สนใจในเรื่องของ Food Waste และการอนุรักษ์ธรรมชาติอยู่แล้ว ส่วนตัวทำ “คอมบูชา” และ “Sourdough” อยู่แล้ว เพราะที่ ชุมพร คาบาน่า รีสอร์ต ก็ใช้อาหารท้องถิ่นเป็นหลัก ไม่สั่งวัตถุดิบที่ต้องเดินทางไกล ทำอาหารใต้เป็นหลักชูวัตถุดิบในท้องถิ่น เช่นทำ “ไอศกรีมมะพร้าว” จากท้องถิ่น นำ “ใบเหลียง” มาทำซุปใบเหลียง, ขนมปังเซียบัตต้าใบเหลียง,ปอเปี๊ยะใบเหลียง,ใบเหลียงอบชีส ฯลฯ พอได้รับการทาบทามให้มาช่วยงานที่นี่ จึงเป็นแนวทางเดียวกัน
คุณ A เล่าว่า “พอมาทำที่นี่เราเริ่มจากทำขนมปังขายแบบเดลิเวอรี่ คอนเซ็ปต์ของตัวเองตั้งแต่ดั้งเดิม มักจะเอาวัตถุดิบที่มีอยู่มาทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยที่เราจะไม่ค่อยทิ้ง
เริ่มแรกที่ทำร้านนี้อยู่ในช่วงฤดูกาลของอะโวคาโด เรามีซุปเปอร์มาร์ทที่ขายสินค้าจากเกษตรกรอยู่แล้ว ก็นำอะโวคาโดที่สุกมากๆอีกนิดเดียวจะทานไม่ได้แล้ว เอามาทำขนมปัง เราต้องเริ่มจินตนาการรสชาติก่อน
ร้านเบเกอรี่ก็จะล้อไปกับร้านอาหาร เพื่อความอร่อยบางอย่างอาจจะเติมเนยหรือน้ำตาลทรายแดงนิดหน่อย โดยหลักขนมปังจะ ไร้เนย นม ไข่ ใช้น้ำมันมะพร้าวแทนไขมัน ใช้แป้ง น้ำตาลไม่ขัดสี อย่างโรลกล้วย เราใช้กล้วยเล็บมือนางที่มีความหวานตามธรรมชาติ”
"สโคนกะทิสด” เสิร์ฟกับ “แยมมะม่วงโชคอนันต์” ตัวสโคนหอมมันจากหัวกะทิล้วนๆ มะพร้าวใต้ชื่อพันธุ์ “มาว่า” มีผลเรียวเล็กเนื้อหนาน้ำมันเยอะกว่าพันธุ์อื่นๆ ช่วงนี้เป็นฤดูกาลของ “แตงไทย” จึงนำมาทำ “สมูทตี้มะม่วง-แตงไทย” แล้วขยับมาเป็น “มัฟฟินแตงไทย” เดิมทำ “มัฟฟินกะทิสด”
ในแต่ละวัน คุณ A และ คุณ B จะต้องเข้าไปสำรวจใน “Super Mart” ว่ามีวัตถุดิบอะไรบ้าง เพื่อที่จะนำมารังสรรค์เป็นเมนูคาวและหวาน เช่นมีฟักทอง ข้าวกล้องสันป่าตอง ฯลฯ นำไปทำน้ำผลไม้ ขนม น้ำสลัด สลัด คอมบูชา ฯลฯ เศษผักต่างๆนำมาทำเป็นสารอินทรีย์ทำความสะอาดเป็นต้น
“เบเกอรี่-อาหารปลอดสารพิษ” วันนี้มี ขนมปังงาดำ-งาขาว ,โรลมันม่วง, โรลมันหวาน, ถั่วบดน้ำตาลมะพร้าว ทั้งสองท่านนำวัตถุดิบทดแทน เช่น “กะทิ” แทน “ครีม” ใช้ “น้ำมันมะพร้าว” แทน “ไขมันเนย” ต่างๆ นำ “คอมบูชา” มาทำน้ำสลัดแทนอิตาเลียนเดรสซิ่ง เป็นต้น ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของการรับประทานอาหารแบบมีที่มาจริงๆ
อาหารเช่น “แกงส้ม” แต่ละภาคและแต่ละบ้านก็จะมีรสชาติแตกต่างกันไป คุณ B เล่าว่า วัตถุดิบอย่าง ออดิบ (คูณ) หรือ สับปะรด มะละกอ ทำแกงส้มได้ แต่รสชาติต่างกัน “แกงส้ม” เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ ในการรับประทานอาหารจากวัตถุดิบที่มีอยู่ตามธรรมชาติโดยไม่ได้เร่งรัดให้ออกผลนอกฤดูกาล
"เครื่องดื่มน้ำขิง+มะขาม"
ช่วงนี้มีมันฝรั่ง และมันหวานกำลังออกผล พวกเขานำมารังสรรค์เมนู “ฟิชแอนด์ชิปส์” โดยใช้ปลาจากประมงพื้นบ้าน เสิร์ฟกับซอสอะโวคาโด แทนมายองเนส มีซัลซ่ามะม่วงช่วยเสริมเสน่ห์ของรสชาติ
ส่วน “ข้าวเหนียวกล้องสันป่าตอง” นั้นนำมาทำ “Artisan Bread” ยังคงมีแป้งสาลีเป็นหลัก ทว่าเติมข้าวเหนียวกล้องสันป่าตองลงไปเพิ่มความหอม มีเนื้อสัมผัสเปลือกแข็งๆหน่อยรับประทานคู่กับซุปและซอสได้อย่างลงตัว
“ปลาย่างสไตล์ญีปุ่น” เสิร์ฟมากับน้ำซุปและสลัดสไตล์ญี่ปุ่น ฤดูกาลนี้มี “ปลาศรีลัง” ซึ่งเป็นปลาพื้นบ้านของทางภาคใต้ (ชุมพร)กับ “ปลาอินทรีย์” จากจังหวัดชุมพร
อาหารทะเลส่วนใหญ่ล้วนมาจากอ่าวไทย เนื้อสัมผัสของปลาศรีลังจะแน่นคล้ายกับปลาอินทรีย์ นำมาทำ “ข้าวต้มปลา” ได้ลงตัวมากๆ ส่วนเมนูปลาย่างมีให้เลือกทั้งสไตล์ไทย (ซอสผัดฉ่า กับซอสต้มยำ) สไตล์สแกนดิเนเวียน และสไตล์ญี่ปุ่น
ผัดไทยปู เส้นข้าวกล้องจากข้าวเหนียวสันป่าตอง ผลิตโดยลูกศิษย์ “ยักษ์กะโจน” แบบไม่ฟอกขาวและไร้สารกันบูด นำมาผัดกับใส่กุ้งแห้งและเนื้อปู จากจันทบุรี เสิร์ฟมากับผักเคียงพื้นบ้านเช่นถั่วพู แปะตำเปิง หัวปลี ถั่วฝักยาว กุ้ยช่าย วอเตอร์เครสแดง ล้วนเป็นผักปลอดสารพิษ
"ผัดฉ่าปลาศรีลัง"
ยักษ์กะโจนอยู่ในหมู่บ้านสัมมากร รามคำแหง 112 (อยู่ระหว่างซอย 29-31) เปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 11.00-20.00 น. (สั่งอาหารได้ถึง 19.30 น.)
วันเสาร์-อาทิตย์ จะมีเซ็ตอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์บริการ ยกตัวอย่างเช่นมี “ข้าวต้มปลา” แสนอร่อย ออมเล็ตไข่ไก่อารมณ์ดีจากฉะเชิงเทรา ขนมปังเบเกอรี่จากในร้าน ผักผลไม้ตามฤดูกาล พร้อมชา-กาแฟ ราคาท่านละ 250 บาท
สอบถามโทร. 062-604-9119 F : ยักษ์กะโจน: yak ka jon และ Line: yakkajon