ภาพขั้นตอนบูรณะปูนปั้นยักษ์วัดอุโมงค์ กรมศิลป์อนุรักษ์แบบ 'ฟื้นคืนสภาพ'
กรมศิลปากร ชี้แจงกรณีวิพากษ์วิจารณ์การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโบราณสถานวัดอุโมงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ยึดการบูรณะแบบฟื้นคืนสภาพตามรูปแบบศิลปกรรมดั้งเดิม พร้อมเปิดภาพขั้นตอนบูรณะ
KEY
POINTS
- กรมศิลปากร ชี้แจง - เปิดขั้นตอน การบูรณะประติมากรรม "ปูนปั้นรูปยักษ์ วัดอุโมงค์ จังหวัดเชียงใหม่" ยึดแนวทางฟื้นคืนสภาพและรูปแบบดั้งเดิมของประติมากรรมรูปยักษ์
- ศึกษาเปรียบเทียบวิเคราะห์ศิลปกรรมที่มีอยู่หรือสร้างอยู่ในยุคเดียวกัน ประเมินแนวคิด ความเสี่ยง ความคุ้มค่า การบริหารจัดการในอนาคต
- ศึกษารูปแบบศิลปกรรมเดิม คัดเลือกช่างท้องถิ่นที่เป็นช่างฝีมือที่เหมาะสมเข้ามาดำเนินการบูรณะ
- เชิญ "หอจดหมายเหตุเชียงใหม่" บันทึกภาพและขั้นตอนต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานสำหรับเป็นข้อมูลในการศึกษาและการบูรณะที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
จากกรณี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุรชัย จงจิตงาม อาจารย์ประจำสาขาวิชาศิลปะไทย คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แสดงความเป็นห่วงหลังพบ ประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ศิลปะล้านนา อายุ 500 ปี ภายในบริเวณ วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ถูกบูรณะซ่อมแซมด้วยการโบกปูนทับ จนทำให้กลายเป็นของใหม่
โดยมองว่าไม่ต่างไปจากการทำลายโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่า พร้อมกับเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรวจสอบและแสดงความรับผิดชอบเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน
ต่อมาวันที่ 10 มิถุนายน 2567 กรมศิลปากร รายงานความคืบหน้ากรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ วัดอุโมงค์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ดังกล่าว โดยนายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่าได้รับรายงานจากนายชินณวุฒิ วิลยาลัย ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ เรียบร้อยแล้ว
พนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร
นายชินณวุฒิ วิลยาลัย ได้รายงานว่า การบูรณะประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์เฝ้ารักษาประตูทางเข้าสู่พระธาตุวัดอุโมงค์ บริเวณเชิงบันไดด้านทิศตะวันออกของทางเข้าพระธาตุวัดอุโมงค์ (สวนพุทธธรรม) ดำเนินการในช่วงเดือน ตุลาคม พ.ศ.2566
โดยประติมากรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โบราณสถานวัดอุโมงค์ ซึ่งเป็นโบราณสถานที่ยังมีการใช้ประโยชน์ในการประกอบศาสนกิจ มีพระภิกษุจำพรรษา มีผู้มาแสวงบุญและมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมอย่างต่อเนื่อง
ประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์ วัดอุโมงค์ สภาพความเสียหายก่อนบูรณะ
สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้เสนอแนวคิดในการบูรณะเป็นสองแนวทาง ได้แก่
แนวคิดที่ 1 : บูรณะโดยการอนุรักษ์และรักษาสภาพของยักษ์ทั้ง 2 ตนไว้
โดยการทำความสะอาด เสริมความมั่นคง และรักษาสภาพดั้งเดิมไว้ ไม่มีการต่อเติมประติมากรรมที่ชำรุดให้สมบูรณ์
แต่เมื่อประเมินสภาพประติมากรรมที่ชำรุดอย่างมากการอนุรักษ์ตามแนวทางนี้ อาจจะรักษาประติมากรรมดังกล่าวได้เพียงระยะหนึ่ง เนื่องจากเป็นประติมากรรมที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง
หากในอนาคตที่มีปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม เช่น ฝนตกหนัก แผ่นดินไหว ขาดการดูแลรักษาปล่อยให้วัชพืชขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยที่เร่งให้เกิดการชำรุดและอาจพังทลายลง
แนวคิดที่ 2 : บูรณะโดยการฟื้นคืนสภาพและรูปแบบดั้งเดิมของประติมากรรมรูปยักษ์
ประติมากรรมปูนปั้นรูปยักษ์ วัดอุโมงค์ สภาพความเสียหายก่อนบูรณะ
เมื่อพิจารณาสภาพก่อนการบูรณะ ซึ่งมีหลักฐานทางศิลปกรรมหลงเหลืออยู่มากกว่า 80% ประกอบกับการวิเคราะห์การเสื่อมสภาพของวัสดุเดิม สภาพแวดล้อมโดยรอบ ปัจจัยความเสี่ยงอื่นในอนาคตที่จะเร่งให้เกิดความเสียหาย การใช้ประโยชน์ของโบราณสถานในปัจจุบัน คติความเชื่อ
อีกทั้งที่ผ่านมา กรมศิลปากร มีการเลือกแนวทาง การบูรณะแบบฟื้นคืนสภาพ มาแล้วหลายแห่ง เช่น องค์พระมงคลบพิตร ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา องค์พระอจนะ วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย จึงพิจารณาเลือกดำเนินการบูรณะในแนวคิดที่ 2
ทำความสะอาด กำจัดเชื้อราและตะไคร่
ทั้งนี้ วิธีการอนุรักษ์ประติมากรรมยักษ์ 2 ตน โดยการฟื้นคืนสภาพ ได้ดำเนินการตามหลักการอนุรักษ์โดยล้างทำความสะอาดคราบเชื้อรา ตะไคร่น้ำ และวัชพืชออก ผนึกปูนปั้นเดิมด้วยการไล้ผิวด้วยน้ำปูน
สภาพปูนปั้นรูปยักษ์หลังทำความสะอาด
ไล้ด้วยน้ำปูนหมัก
หลังจากนั้นไล้ผิวด้วย ปูนหมัก เพื่อให้ผิวประติมากรรมที่มีรอยร้าวผสานเข้ากับปูนปั้นที่ใช้ในการบูรณะ โดยให้คงชั้นความหนาของปูนปั้นเดิมให้มากที่สุด เพื่อให้ขนาดของประติมากรรมหลังจากการบูรณะไม่เปลี่ยนแปลงไป
วิธีการนี้ยังช่วยป้องกันน้ำฝนที่จะซึมเข้าสู่ภายในองค์ยักษ์ อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วอีกด้วย
ขึ้นลายปูนปั้น
เสริมโครงเหล็กส่วนที่ขาดหายไป
ทั้งนี้ได้ ปั้นปูนใหม่เสริมในส่วนที่ขาดหาย เสริมโครงสร้างใหม่ (แขน) เชื่อมต่อโครงสร้างเดิมและปั้นปูนตกแต่งตามล้อตามลวดลายเดิมที่ปรากฏอยู่ (บริเวณใบหน้า , หู , ปาก ฯลฯ) และตกแต่งผิวให้เรียบ
ส่วน กระบอง ไม่พบหลักฐานที่แตกหักหรือตกหล่นอยู่บริเวณนี้ จึงออกแบบให้เป็นกระบองแบบผิวเรียบ (มีเกลียวเล็กน้อย) และขนาดตามสัดส่วนของรูปยักษ์
ปูนปั้นยักษ์ตนที่ 1
ปูนปั้นยักษ์ตนที่ 2
อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวอีกว่า สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ได้หารือแนวทางการบูรณะกับทางจังหวัดก่อนที่จะดำเนินการ โดยปฏิบัติตามตามมาตรฐานการบูรณะประติมากรรม
- มีการสำรวจตรวจสภาพโบราณสถาน ลักษณะความเสียหาย ภูมิประเทศสภาพแวดล้อม ปัจจัยองค์ประกอบที่เร่งในการชำรุดเสียหายของโบราณสถาน
- ศึกษาเปรียบเทียบวิเคราะห์ศิลปกรรมที่มีอยู่หรือสร้างอยู่ในยุคเดียวกัน อีกทั้งประเมินแนวคิด ความเสี่ยง ความคุ้มค่า การบริหารจัดการในอนาคต
- มีการศึกษารูปแบบศิลปกรรมเดิม และคัดเลือกช่างท้องถิ่นที่เป็นช่างฝีมือที่เหมาะสมเข้ามาดำเนินการบูรณะ
- การบูรณะในครั้งนี้ ได้ให้ หอจดหมายเหตุเชียงใหม่ เข้าบันทึกภาพและขั้นตอนต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐานสำหรับเป็นข้อมูลในการศึกษาและการบูรณะที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ภาพ : กรมศิลปากร