เอเชียผงาด ยึดพื้นที่ ‘LVMH’ ครองตำแหน่งแอมบาสเดอร์แบรนด์หรูระดับโลก
ช่วงไม่กี่ปีมานี้เรามักได้เห็นเซเลบริตี้ชาวเอเชีย ก้าวขึ้นแท่น “แบรนด์แอมบาสเดอร์” และ “พรีเซนเตอร์” ของแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย โดยเฉพาะแบรนด์ในเครือ LVMH ทั้งที่ส่วนใหญ่สินค้าเหล่านั้นเป็นแบรนด์ยุโรป หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็เพราะเอเชียคือตลาดที่เติบโตมากที่สุด
Key Points:
- หลายแบรนด์หรูเลือกเทียบเชิญศิลปิน ดารา และบุคคลที่มีชื่อเสียงชาวเอเชียหลายคนให้มาขึ้นแท่น “แบรนด์แอมบาสเดอร์” หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็เพราะเอเชียคือตลาดที่ใหญ่ที่สุด
- หลายแบรนด์จากยุโรปที่ให้ความสำคัญกับพรีเซนเตอร์ชาวเอเชียนั้น ส่วนใหญ่มาจากเครือ LVMH
- แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะมาจากฝั่งยุโรปและอเมริกา แต่กำลังซื้อของชาวตะวันตกยังไม่สามารถเทียบเท่าเอเชียได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน เซเลบริตี้ชื่อดัง “ชาวเอเชีย” ถูกเทียบเชิญจากแบรนด์สินค้าแฟชั่นระดับไฮเอนด์มากมาย ให้มาดำรงตำแหน่งแอมบาสเดอร์และพรีเซนเตอร์ มากกว่าคนดังฝั่งยุโรปและอเมริกาเสียอีก
โดยเฉพาะนักร้องและนักแสดงที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นสี่สาววง “BLACKPINK” ที่โด่งดังในระดับอินเตอร์ หรือหนึ่งในบอยแบนด์ที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกาหลีใต้อย่าง “BTS” โดยเฉพาะแบรนด์หรูในเครือ “LVMH” ที่เรียกได้ว่าเป็นบริษัทแฟชั่นลักชัวรีที่มีแบรนด์หรูทั่วโลกอยู่ในอาณาจักร เช่น Louis Vuitton, Christian Dior, Givenchy, Celine, Bulgari, Fendi, Loewe และ Tiffany & Co.
สำหรับแบรนด์ในเครือของ LVMH ส่วนใหญ่จะเป็นแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศส ตามมาด้วยแบรนด์จากประเทศอื่นๆ ในยุโรป และสหรัฐอเมริกา บางคนจึงอาจสงสัยว่า แล้วทำไมแบรนด์เหล่านี้จึงเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียงชาวเอเชียมาเป็นหน้าเป็นตาของแบรนด์ หนึ่งในเหตุผลสำคัญก็คือฐานลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดของ LVMH ก็คือทวีปเอเชียนั่นเอง เพราะทวีปเอเชียสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ต่างๆ ในเครือมากกว่าทวีปยุโรปซึ่งเป็นบ้านเกิดของแบรนด์เหล่านั้นด้วยซ้ำ
- “LVMH” อาณาจักรสินค้าแบรนด์เนมสุดอลังการ ของชายที่รวยที่สุดในวงการแฟชั่น
หากพูดถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า “LVMH” จะต้องตามมาด้วยชื่อของ “Bernard Arnault” นักธุรกิจชาวฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันนี้นอกจากเขาจะดำรงตำแหน่ง CEO ของ LVMH แล้ว เขายังเป็นผู้ชายที่รวยที่สุดในโลกที่เพิ่งล้มแชมป์เก่าอย่าง Elon Musk ให้ร่วงลงไปอยู่อันดับสองได้ (แต่ล่าสุด Elon ก็กลับมาอยู่อันดับ 1 อีกแล้ว ณ 27 ก.พ. 2023) นอกจากนี้เขายังเป็นมหาเศรษฐีจากธุรกิจแฟชั่นเพียงคนเดียวที่ติด 10 อันดับแรกของคนรวยที่สุดในโลกอีกด้วย โดยเขามีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 1.59 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 5.56 ล้านล้านบาท
จุดเริ่มต้นของการเข้ามาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในอุตสาหกรรมแฟชั่นของ Bernard นั้น มีต้นทุนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวยเป็นทุนเดิม พ่อของเขาเป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งหลังจากที่ตัวเขาเองเรียนจบมหาวิทยาลัยก็ได้กลับมาช่วยกิจการของทางบ้าน และหลังจากนั้นในปี 1980 เขาก็สนใจที่จะมาหยิบจับธุรกิจเกี่ยวกับแฟชั่น
โดยเริ่มจากการตัดสินใจซื้อบริษัท Agache-Willot-Boussac ที่เป็นเจ้าของแบรนด์หรูอย่าง Christian Dior และห้างสรรพสินค้า Bon Marche ทั้งที่ในช่วงนั้นธุรกิจทั้งสองกำลังอยู่ระหว่างขาลง แต่การที่เขาเข้ามาเปลี่ยนวิธีบริหารและรื้อการทำการตลาดใหม่ทั้งหมด ก็ทำให้ธุรกิจทั้งสองกลับมาสร้างกำไรได้อีกครั้ง
หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับธุรกิจแฟชั่นทำให้ Bernard เริ่มมีเป้าหมายที่จะขยายกิจการด้านแฟชั่นและความงามมากยิ่งขึ้น แต่ไม่ใช่การซื้อกิจการเพิ่มหรือขยายสาขาให้มากขึ้น แต่เขาคิดไปไกลมากกว่านั้นเพราะเขาต้องการที่จะสร้างอาณาจักรแฟชั่นแบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หลังจากนั้นเป็นต้นมา เขาจึงทยอยซื้อแบรนด์หรูต่างๆ มาไว้ในมือให้มากที่สุด จนกระทั่งปี 1989 เขาได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และประธานบริษัท LVMH ด้วยการเข้าซื้อหุ้นด้วยมูลค่าสูงถึง 8.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาพ Bernard Arnault จาก LVMH
ปัจจุบัน LVMH มีแบรนด์ในเครือรวมกันทั้งหมดมากกว่า 75 แบรนด์ ซึ่งไม่ได้มีแค่เสื้อผ้าและเครื่องหนังเหมือนกับในอดีตแล้ว แต่ยังมีเครื่องสำอาง น้ำหอม เครื่องประดับ นาฬิกา ร้านค้าปลีก เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ซึ่งอสังหาฯ ที่โด่งดังของเขาก็คือ โรงแรม Bulgari Hotels & Resorts ซึ่งมีทั้งหมด 6 สาขา เช่น ลอนดอน ดูไบ มิลาน ฯลฯ และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก
โดยผลประกอบการปีล่าสุด LVMH สามารถทำรายได้มากถึง 8.4 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท และทำกำไร 2.2 หมื่นล้านเหรียญ หรือประมาณ 7.8 แสนล้านบาท
- เอเชียยืนหนึ่ง ช็อปแบรนด์เนมเยอะสุด จนต้องมีเซเลบริตี้ชาวเอเชียมาเป็นหน้าเป็นตา
แม้ว่าแบรนด์หรูทั้งหลายในเครือ “LVMH” จะมาจากฟากฝั่งยุโรป โดยเฉพาะจากประเทศฝรั่งเศส แต่เหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์และพรีเซนเตอร์ส่วนใหญ่ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกลับเป็นคนเอเชีย
ปัจจัยสำคัญที่แบรนด์มักดึงศิลปินและนักแสดงชาวเอเชียไปร่วมงานกับแบรนด์นั้น ไม่ใช่แค่เพราะพวกเขามีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นไปทั่วโลกเท่านั้น แต่เป็นเพราะทวีปเอเชียสามารถสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ต่างๆ ในเครือ LVMH ได้ถึงร้อยละ 30 โดยที่ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น (ร้อยละ 7) ส่วนทวีปยุโรปอยู่ที่ร้อยละ 16 และสหรัฐอเมริการ้อยละ 27
จากบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของ Bernard ในนิตยสาร TIME ระบุว่า “สิ่งที่เครือ LVMH ทำ สวนทางกับกระแสของโลกาภิวัฒน์ เราผลิตสินค้าในอิตาลีและฝรั่งเศส แต่เราขายให้กับจีน เพราะปกติแล้วคนอื่นจะทำตรงกันข้าม” ซึ่งแปลง่ายๆ ก็คือ เขาเลือกที่จะผลิตสินค้าจากยุโรปแล้วส่งมาให้พวกเราชาวเอเชียเลือกซื้อนั่นเอง
ดังนั้นเหล่าคนดังที่จะมาร่วมงานกับแบรนด์เหล่านี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนดังชาวเอเชียที่สามารถสื่อสารแบรนด์ไปยังลูกค้าชาวเอเชียด้วยกันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะศิลปินเกาหลีและจีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อยอดขายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าพวกเขาจะโพสต์สินค้าอะไรลงในโลกโซเชียล ก็สามารถสร้างกระแสให้บรรดาแฟนคลับพากันซื้อตามได้เสมอ เช่นกรณีของ Lisa BLACKPINK ที่เคยทำให้กระเป๋าบางคอลเลกชันของ CELINE ขายจนหมดเกลี้ยงมาเรียบร้อยแล้ว นอกจากแต่ละแบรนด์จะสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ได้แล้ว ยังได้ฐานลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
- ใครเป็นใคร ในฐานะหน้าตาของแบรนด์หรูระดับโลก
สำหรับศิลปินเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีใต้ที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จที่สุดในระดับโลก คงหนีไม่พ้น “BLACKPINK” ที่นอกจากจะมีผลงานเพลงที่โด่งดังแล้ว สมาชิกทั้ง 4 คน ยังเป็นตัวแทนของแบรนด์อีกหลายแบรนด์ด้วย ดังนี้ Lisa จากแบรนด์ CELINE และ BVLGARI, Jisoo จากแบรนด์ Christian Dior, Jennie จากแบรนด์ Channal และ Rosé จากแบรนด์ Saint Laurent และ Tiffany & Co.
ภาพ Rosé BLACKPINK จาก Footwear News
ด้านศิลปินชายเองก็ไม่น้อยหน้า โดยวงบอยแบนด์อย่าง “BTS” ทั้ง 7 คน ก็ได้เป็น House Ambassadors ของ Louis Vuitton และยังมีคนอื่นๆ ในวงการอีก เช่น Jessica Jung อดีตสมาชิกวง SNSD และ Yuri SNSD กับแบรนด์ BVLGARI, Kai EXO กับแบรนด์ Tiffany & Co. เป็นต้น และไม่ใช่แค่ฝั่งเกาหลีใต้เท่านั้น แต่ไอดอลจากจีนอย่าง Fan ChengCheng วง NEX7 ก็ขึ้นแท่นเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ BVLGARI เช่นกัน
ภาพ RM BTS จาก GQ
ดังนั้นการที่เหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงจากเอเชียหลายคน ได้ร่วมงานกับแบรนด์ไฮเอนด์ระดับโลกนั้น ส่วนหนึ่งก็คือมาจากรูปร่างหน้าตาและบุคลิกภาพของเซเลบริตี้เหล่านั้น ที่เหมาะสมกับตัวแบรนด์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพลังแห่งการซื้อของชาวเอเชียก็เป็นอีกส่วนสำคัญไม่น้อยที่ทำให้หลายแบรนด์ต้องการเข้ามาเอาใจชาวเอเชียในฐานะลูกค้าคนสำคัญ
อ้างอิงข้อมูล : TIME, PN Storetailer, The Standard และ ไทยรัฐ