KinnPorsche The Series บทพิสูจน์ Soft Power ไทย ไปได้จริงในระดับในโลก
สองผู้บริหารผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ “KinnPorsche The Series” เปิดอกคุยกับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงปัจจัยที่ทำให้ซีรีส์วายแนวมาเฟียเรื่องนี้สร้างปรากฎการณ์ในระดับโลก และกลายเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ซีรีส์วาย” สามารถกลายเป็น Soft Power ของประเทศไทยได้จริง
นับเป็นตัวอย่างของ Soft Power จากประเทศไทยที่ไปสร้างแรงกระเพื่อมในระดับสากลได้อย่างแท้จริง สำหรับ “KinnPorsche The Series” ออริจินัลซีรีส์วายเรื่องแรกของ iQIYI (อ้ายฉีอี้) ประเทศไทย ที่ออนแอร์จบลงไปแล้วตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ด้วยการติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ 1 ของโลก (World Wilde) มาอย่างต่อเนื่อง
แต่ “ละครจบ คนไม่จบ” เพราะ “KinnPorsche The Series” ยังกระแสแรงอย่างต่อเนื่องจน บริษัท บี ออน คลาวด์ จำกัด ผู้ผลิตซีรีส์สามารถต่อยอดเปิดโปรเจกต์ “KinnPorsche The Series World Tour 2022” นำพานักแสดง 16 ชีวิต ออกเดินสายพบปะแฟนๆ ทั่วโลก โดยร่วมมือกับ LIVE NATION TERO ผู้อยู่เบื้องหลังคอนเสิร์ตระดับโลกอย่าง จัสติน บีเบอร์, Blackpink
นับเป็นซีรีส์สัญชาติไทยเรื่องแรกที่สามารถจัด World Tour ได้อย่างภาคภูมิใจ
แน่นอนว่าความสำเร็จระดับปรากฎการณ์นี้ย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เราจะพาคุณไปพูดคุยแบบสุด Exclusive กับบุคคล 2 ท่านที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคอนเทนต์ไทยเรื่องนี้ ได้แก่ คุณปอนด์ - กฤษดา วิทยาขจรเดช ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ “KinnPorsche The Series” กับคุณป๊อปปี้ - ผ่านศึก ธงรบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเนื้อหา iQIYI (อ้ายฉีอี้) ประเทศไทย
(ซ้าย) คุณป๊อปปี้ แห่งอ้ายฉีอี้ (ขวา) คุณปอนด์ แห่งบี ออน คลาวด์
ปอนด์ - กฤษดา เล่าให้เราฟังว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทกับ มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง ผู้รับบท ‘คินน์’ จึงได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ของซีรีส์เรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น รับรู้ถึงความทุ่มเทของเพื่อน และรับรู้ถึงความน่าสนใจของพล็อตเรื่อง แล้วพอได้เข้ามาเป็นผู้สร้าง “KinnPorsche The Series” ด้วยตัวเอง เขาก็พบกับความยากลำบากชนิดที่ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายอย่างในชีวิต
“การสร้างซีรีส์เรื่องนี้มันยากมากครับ มันต้องรวย มันต้องร้าย แล้วคำว่า “รวย” มันมาพร้อมกับ “ราคา” ที่ต้องจ่าย ค่าสถานที่ ค่าพร็อพต่างๆ มันโอเวอร์ไปจาก budget ที่วางเอาไว้ 3 เท่า ไม่นับรวมความเหนื่อย ผมไม่เคยเหนื่อยแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต ทั้งที่ผมว่าผมเองก็ทำงานหนักมาตลอดนะ”
ถึงแม้ว่าบริษัท บี ออน คลาวด์ (Be On Cloud) ของเขาจะเป็นน้องใหม่ในวงการ แต่ปอนด์ - กฤษดา กลับตีโจทย์แตก และเข้าถึงหัวใจของการผลิตคอนเทนต์ นั่นคือ การให้ความสำคัญกับ “บทละคร” ซึ่งเขาบอกว่าเป็นรากฐานของทุกอย่าง ดังนั้น บทละครของเขาจะต้องดี และสมจริง
“พอมันเป็นซีรีส์แบบนี้ แล้วมันร้ายด้วย มันก็จะมีบางอย่างที่กล้าพูด ไม่กล้าพูด ซึ่งผมได้คุยเรื่องนี้กับคุณป๊อปปี้ (ผ่านศึก ธงรบ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเนื้อหา iQIYI (อ้ายฉีอี้) ประเทศไทย) ว่าจะเอาให้สุด แรงแบบไม่มีกั๊ก” ผู้บริหาร บี ออน คลาวด์ กล่าว
หลายคนที่ไม่เคยอ่านนิยายหรือดูซีรีส์เรื่องนี้มาก่อนอาจไม่เข้าใจคำว่า “ร้าย” และ “แรง” ที่ปอนด์ - กฤษดา กล่าว งั้นเราจะขยายความให้ฟังก่อน
“KinnPorsche The Series” เป็นซีรีส์วายแนวมาเฟียที่ดัดแปลงมาจากนิยายออนไลน์ชื่อดังเรื่อง “KinnPorsche Story : รักโคตรร้าย สุดท้ายโคตรรัก” ของนักเขียนเจ้าของนามปากกา Daemi (แดมี) มีเนื้อหาเกี่ยวกับ “คินน์” ลูกชายคนรองของตระกูลมาเฟีย (นำแสดงโดย มาย-ภาคภูมิ ร่มไทรทอง) กับ ‘พอร์ช’ บอดี้การ์ดของเขา (นำแสดงโดย อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์) ที่ต้องร่วมฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยกัน ทั้งการไล่ล่าจากแก๊งคู่อริ ดราม่าที่หนักหน่วง รวมถึงปมปัญหาต่างๆ ในชีวิต จนก่อให้เกิดความรักระหว่างกันขึ้นมา
พูดง่ายๆ ว่า “KinnPorsche The Series” เป็นละครที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น บู๊ล้างผลาญ ฉากดราม่าที่นักแสดงต้องเชือดเฉือนกันอย่างสุดฝีมือ รวมไปถึงฉากเลิฟซีนที่ถึงพริกถึงขิงกว่าที่เคยเป็นมา เพราะนี่คือหนังมาเฟียที่ต้องมีทั้งความ “ร้าย” และความ “แรง” ถึงจะสมจริง
- ต้องมี “ความกล้า” และ “ลูกบ้า”
หลังจากที่นั่งพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เราตั้งข้อสังเกตว่า ความเป็นมือใหม่ ปราศจากวิธีคิดแบบผู้จัดมืออาชีพมาตีกรอบครอบงำ ประกอบกับความ “ใจถึง” กล้าได้กล้าเสีย ทำให้ ปอนด์ - กฤษดา ลงมือทำในสิ่งที่ผู้จัดหลายคนไม่เคยทำ หรืออาจจะไม่กล้าทำ เช่น การรวมทีมอเวนเจอร์ส หาคนที่เหมาะกับงานในส่วนต่างๆ แทนที่จะใช้โปรดิวเซอร์คนเดียวทำหมดทุกอย่าง ไปจนถึงการควักกระเป๋าจ่ายจนเงินหมดบัญชีโดยไม่รู้ตัว เพราะต้องการให้ผลงานออกมาดี ออกมาแพงดั่งใจ
แล้วนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ “คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์” มีผู้กำกับมากถึง 3 คนด้วยกัน ได้แก่ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ, เป๊ปซี่-บัญชร วรเศรษฐ์อารี และตัวของ ปอนด์ - กฤษดา เอง เพราะผู้กำกับแต่ละคนมีความถนัดในพาร์ทที่ต่างกันออกไป
โฉมหน้าของ 3 ผู้กำกับ
“ตัวละคร คินน์ กับ พอร์ช มันมีความเป็นผมอยู่ในตัว เราสู้ชีวิตเหมือนกัน แล้วผมก็มีน้องเหมือนกัน ผมเจอสถานการณ์เดียวกับที่พอร์ชเจอ เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจอารมณ์ตรงนี้ ส่วนพี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) เก่งมากในเรื่องของแอ็คชั่น แล้วผมเป็นคนกวน ชอบคิดมุกตลก พี่โขมเค้าต่อยอดความตลกไปได้อีก
ส่วนเป๊ปซี่ ประสบการณ์ในฐานะโปรดิวเซอร์ที่ทำมานาน เขาจะรู้ระบบการจัดการกองที่ดี มันก็น่าจะเป็น combination ที่ทำให้เกิดคินน์พอร์ชขึ้นมา
“ผมมีประสบการณ์ในการกำกับน้อยสุด แต่เอาประสบการณ์ชีวิตไปแลก” ปอนด์ - กฤษดา ที่เป็นทุกอย่างของซีรีส์เรื่องนี้กล่าว
“บางซีนนี่มันชีวิตผมเลยนะ ตอนที่เราเวิร์คกับโป (อาโป-ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ผู้รับบท ‘พอร์ช’) ผมก็เล่าชีวิตผมให้ฟัง หลายๆ อย่างที่เราไปเวิร์คกับทีมเขียนบทให้เขียนออกมา อาโปบอก มันมีคนแบบนี้จริงๆ ด้วยเหรอ ผมก็แบบ (กู) นี่ไง โดนมากับตัว
บางครั้งหนังมันถ่ายทอดออกมามุมเดียว ดีก็ดีเลย เลวก็เลยเลย แต่คนเลวมันเกิดจากอะไร คนที่คุณว่าดี คุณเห็นเค้าแค่มุมเดียวรึเปล่า คินน์พอร์ชมันพยายามเล่าให้มันกลมๆ คนดูก็เลยรู้สึกผูกพันธ์กับตัวละคร และอินไปด้วย”
- “ปรากฎการณ์ที่สร้างได้”
ทางด้านคุณป๊อปปี้ ผ่านศึก ธงรบ จาก iQIYI (อ้ายฉีอี้) ประเทศไทย พาร์ทเนอร์สำคัญของ คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ ผู้ที่ผ่านการทำงานมาหลายโปรเจคต์ยืนยันว่า การประสบความสำเร็จของซีรีส์เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องฟลุ้ค แต่มาจากการวางแผนมาเป็นอย่างดี ครบทุกองค์ประกอบของคอนเทนต์ที่สมควรจะดัง
“มันไม่ใช่แค่นิวไฮของอ้ายฉีอี้ แต่มันเป็นของอุตสาหกรรมด้วย ในระหว่างที่ทำงานเราต้องคุยกับพาร์ทเนอร์หลายคน ทั้งทีวี ผู้จัด ทุกคนชื่นชมหมด ทุกอย่างที่นำเสนอออกไปมันไม่ใช่แค่คุณภาพนักแสดง โปรดักชั่น ก่อนหน้านี้มันมีหลายโปรเจคต์ที่เราคาดหวังให้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ ฟลุ้ค เผื่อมันจะดังโน่นนั่นนี่
แต่โปรเจคต์นี้ เราได้คุยกับคนนี้ (ปอนด์ - กฤษดา) เราจึงรู้ว่ามันถูกวางแผนเอาไว้แล้วว่ายังไงมันต้องดังด้วยหนึ่ง สอง สาม สี่ ฯลฯ มันอาจจะมีรูมให้เกิด magic moment หรือ happening อะไรบางอย่างอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างมันถูก well-planned มาอยู่แล้ว ป๊อปปี้เลยรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเป็นปรากฎการณ์ที่สร้างได้จริงๆ"
ขณะที่ ปอนด์ -กฤษดา เสริมว่า
“สุดท้ายแล้วมันเป็นปรากฎการณ์ที่ผมรู้สึกดีมาก ว่าในที่สุดคอนเทนต์ไทยมันทำได้จริงๆ เราดูกันมาเยอะมากว่าทำไมคอนเทนต์ต่างประเทศเขาถึงทำได้ หรือแม้แต่ศิลปินต่างประเทศ ทำไมแฟนๆ คนไทยถึงไปต่อคิวซื้อบัตร กรี๊ดให้เขา ส่งกำลังใจให้เขา ในขณะที่เด็กไทยก็มีนะ จนวันนี้ คินน์พอร์ชมันส่งไปถึงจุดนั้นได้”
“แม้กระทั่งคอนเสิร์ต ผมบอกเลยว่าเพียงแค่คอนเสิร์ตลำพังไม่มีวันไปถึงจุดนี้ได้ ถ้าคินน์พอร์ชไม่ส่งให้เด็กธรรมดา 16 คน เป็นที่ยอมรับขนาดนั้นได้ คนต่อคิว บัตรหมดภายใน 15 นาทีทั้งที่เราขายวันธรรมดา คือทุกอย่างที่ศิลปินต่างประเทศเคยทำได้กับคนไทย วันนี้ คินน์พอร์ชมันทำได้ด้วยเพราะว่าส่วนประกอบมันลงตัวมาก”
ป๊อปปี้ - ผ่านศึก จาก iQIYI (อ้ายฉีอี้) ยังพูดถึงในอีกมุมที่น่าสนใจว่า คนที่ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันไม่ใช่โปรเจคต์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมามากเสียจนกลายเป็นก๊อปต่างชาติมา
“เราจะเห็นว่าสุดท้ายมันยังมีความเป็นไทย มันไม่มีใครเควชชั่นเลยว่า เอ๊ะ มันเหมือนเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันกลายเป็นออริจินัลของเราจริงๆ ที่ทำออกมาแล้วเราภูมิใจกับมัน ภูมิใจในการนำเสนอของไทยไปสู่ตลาดโลก”
- ซีรีส์วายที่ดูได้ทั้งครอบครัว
เมื่อเราตั้งคำถามไปว่า ในมุมมองของแต่ละคน อะไรทำให้เกิดปรากฎการณ์ “คินน์พอร์ชฟีเวอร์” ขึ้นทั่วโลก
คุณปอนด์แห่ง บี ออน คลาวด์ มองว่ามาจากความตั้งใจ และความกล้า
“อันดับแรกต้องกล้าลงทุนก่อน อันนี้เรื่องใหญ่เพราะว่าผมใช้ funding ตัวเอง และกล้าที่จะแตกต่าง กล้าเสนอความเป็นจริง ในคินน์พอร์ช ไม่มีตัวละครตัวไหนดี ตัวไหนเลว มันเป็นธรรมดาของมนุษย์ หรือแม้กระทั่งสังเกตว่าเราจะไม่พูดเรื่อง ใครเป็นโพไหน (ภาษาชาววาย) นี่คือ โพรุก โพรับ โพผัว โพเมีย เราไม่มีคำนี้เลย เรารู้สึกว่ามันคือคนที่รักกัน
คินน์พอร์ชที่มันดังได้เพราะฐานแฟนที่ขยายขึ้นมันไม่ได้มาจากแฟนๆ ที่เป็นสายวายอย่างเดียว คนทั่วไปเปิดใจดูเพราะมันเป็นคอนเทนต์ที่สนุก ผมว่าอันนี้คือปรากฎการณ์ แล้วพอมันเป็นมนุษย์มากๆ มันเป็น international language ที่คุณฟังไม่ออกแต่คุณเข้าใจ มันก็เลยไปทั้งโลกได้ แต่เราคุยกันมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเราจะไปทั้งโลก”
ในขณะที่คุณป๊อปปี้ แห่งอ้ายฉีอี้ ขอเสริมว่ามันเป็นเรื่องของความลงตัว ในการผสมผสานอะไรหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน
“อย่างที่เราพูดกันมา หรือแม้แต่ผู้กำกับที่เป็นตัวแทนของแต่ละเรื่อง ฟังก์ชั่นแอ็คชั่นก็มี ฟังก์ชั่นความเป็นวายจ๋าๆ ที่คนชอบกันมันก็ยังมีอยู่ หรือแม้แต่การนำเสนอของมิติความรัก แต่ผมว่าจุดหนึ่ง สิ่งที่สัมผัสได้มันคือตัวตนของผู้ผลิต ของทีมงาน บี ออน คลาวด์ทั้งหมด ของตัวนักแสดงด้วย
มันคือเสน่ห์ที่เวลาคนทำงานแล้วเราจะเห็นเค้า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเห็นมันสื่อสารออกไปจากบ้านนี้มันกลายเป็นสิ่งที่มีความลื่นไหล มีมิติที่ไม่ได้แบนเป็นส่วนเดียว แล้วมันก็มีรสนิยมที่เรียกได้ว่า นำสมัย มันไม่ได้ตามสมัย หรือเราไปพูดเรื่องมิติความรักความสัมพันธ์แบบเดิมๆ อีกแล้ว
ป๊อปปี้รู้สึกว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่ความแปลกใหม่ที่เราอ้างกัน หรือพูดบนเปเปอร์ว่ามันใหม่ แต่พอถึงเวลาพรีเซนเทชั่นจริงๆ มันไม่ถึง แต่เรื่องนี้มันถึงทุกอย่างที่เราวางไว้ เป็นไปตามเป้าที่เรามองด้วย”
ขณะที่ ปอนด์ ขอเสริมว่าปรากฎการณ์ที่เขาดีใจยิ่งกว่าเรื่องที่ คินน์พอร์ชไปสร้างปรากฎการณ์ระดับโลกได้ก็คือเรื่องที่แม่ของเขา ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เข้าใจเรื่องความรักเพศเดียวกันเลย แต่คินน์พอร์ชกลับเข้าไปเปลี่ยนมายด์เซ็ตของท่านได้โดยสิ้นเชิง
“เค้านั่งดูด้วยความชื่นชม เข้าใจว่านี่คือความรักจริงๆ ผมว่าอันนี้เกิดขึ้นกับหลายแฟมิลี่ ถ้าสังเกตแฟนๆ คินน์พอร์ชที่คุยกับเรา เค้าดูกับแม่เค้า ดูกับพ่อเค้า มันทำให้หลายคนดีใจที่มันถูกยอมรับในวงกว้างในเรื่องของความรักเพศเดียวกัน หรือเพศอะไรก็ตามมันไม่ผิด”
- ทำไมเป็น “อ้ายฉีอี้”
ท่ามกลางแพลตฟอร์มสตรีมมิงที่มีอยู่มากมายหลายเจ้า ทั้งที่มีชื่อเสียงระดับโลก ระดับภูมิภาค และของไทยเอง ทำไม บี ออน คลาวด์ ถึงเลือกเป็นพาร์ทเนอร์กับ “อ้ายฉีอี้”
สำหรับเรื่องนี้คุณป๊อปปี้บอกว่ามันไม่ใช่เรื่องของแพลตฟอร์มเลือกผู้จัด หรือผู้จัดเลือกแพลตฟอร์ม แต่มันคือการมองไปในทิศทางที่ตรงกันจริงๆ
“ผมรู้สึกว่ามันเป็นแอตติจูดของคนทำงานแล้วในจุดๆ หนึ่งเรารู้สึกว่าเรากำลังมองเป้าที่เป็นระดับโลกอยู่ แต่อาจจะถูกเควสชั่นกับอะไรบางอย่าง เอ๊ะ เราใช่ไหม เราจะเป็นที่หนึ่งรึเปล่า มันคือความทะเยอทะยานของคนที่อยากจะพุ่งไปถึงจุดนั้น
แล้วประโยคสุดท้ายที่เค้าพิมพ์มาหาผมว่า “รับรองครับ คุณจะไม่ผิดหวัง” ซึ่งวิธีการพิมพ์แบบนั้นสำหรับผมมันมากกว่าเวลาเราพูดออกสื่อ มันคือ commitment สั้นๆ ระหว่างคนทำงาน แต่ผมรู้สึกว่ามันอิมแพคมากๆ เพราะว่ามันกำลังพูดถึงสิ่งที่มันอยู่นอกเหนือเปเปอร์แล้ว
มันเป็นการทำงานกับความคาดหวังซึ่งเราคุยกันมาเยอะมากช่วงก่อนปิดดีลว่าความคาดหวังของเราคืออะไร คือมันไม่ใช่ใครกล่อมใคร มันคือเรากล่อมกันเอง เรา sync กันว่ามันตรงกัน
ทางด้านคุณปอนด์ เจ้าของโปรเจคต์บอกว่า เรื่องแพลทฟอร์มในตอนนั้นเป็นโจทย์ที่ยากมาก เพราะอ้ายฉีอี้เองก็ยังใหม่ในตลาดไทย แต่พอคุยกันแล้วเชื่อตรงกันจึงรู้สึกว่าจะลองเสี่ยงไปด้วยกัน
“ผมพูดไปว่าคุณมองโปรเจคต์นี้เป็นอะไร คือทุกคนเอาเงินมาวางได้หมดแหละ ผมกล้าพูดว่าถ้าใครมาบอกว่าผมนายทุนเนี่ย ผมตบปากนะ คุณเอาเงินเท่าผมมาวางคุณก็ทำไม่ได้ มันมีคนมาพูดว่าผมนายทุน คินน์พอร์ชมันทำได้เพราะรวย (มึง) รวยแล้วมาทำไหม มันทำได้เหรอ มันไม่เกี่ยว คุณต้องใจกับมันมาก”
ระหว่างที่เรานั่งสัมภาษณ์กันไป คุณปอนด์ก็เอ่ยปากถามคุณป๊อปปี้ออกมากันเดี๋ยวนั้นเลยว่า เคยสงสัยบ้างไหมว่า คินน์พอร์ช จะไปได้รึเปล่า ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าตัวเขาเคยทำงานใน OTT มาก่อน พอจะรู้ตื้นลึกหนาบางมาบ้างว่าบางเจ้าเค้าจะบริหารโปรเจคต์อย่างไร
“ส่วนตัวป๊อปปี้เวลาคุยกับพาร์ทเนอร์จะเป็นคนไม่พูดอะไรที่ตัวเองไม่มั่นใจ หรือถ้าไม่มั่นใจก็จะแชร์ไปตรงๆ เลยว่าเรื่องนั้นไม่มั่นใจ ด้วยเวลา ข้อจำกัดหนึ่งสองสามสี่ ก็จะเล่าตรงๆ
สำหรับเรื่องนี้ ผมมั่นใจว่าเราจะเป็นเจ้าที่ดีที่สุดในตลาดสำหรับโปรเจคต์นี้ ผมคิดอย่างนั้น แล้วพอมันออกมาแล้วปุ๊บ ผมเชื่อว่ามันก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ผมทำงานแบบพยายามมอนิเตอร์ในหลายๆ ส่วน และบริหารอยู่หลังไมค์กับทางทีมต่างๆ เรารู้ว่าอะไรบ้างที่ต้องไปถึงจุดนั้นก็พยายามทำให้มันเกิดขึ้น
“มันไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับอ้ายฉีอี้เลยครับ ทั้งในมิติของวาย วายถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศอย่างเรา แล้วก็การที่แบรนด์ว่าจะเป็น “อ้ายฉีอี้ ออริจินัล” เรื่องแรกของประเทศไทย จริงๆ คนในบริษัทไม่มีใครเควชชั่นเลยครับ เพียงแต่ว่าการแปะลงไปแล้วมันจะกลายเป็นดิจิตอล ฟุตปรินท์ของอ้ายฉีอี้ พอแปะลงไปปุ๊บ เราแครี่มันไปต่อแค่ไหน แล้วบริหารอย่างไร อันนี้มันเป็นส่วนที่เราต้องจูนให้ตรงกัน คือต้องไปกับโปรเจคต์นี้ มันลังเลไม่ได้”
- เปย์จนเงินหมดบัญชีไม่รู้ตัว
จากที่คุยกันมา คุณปอนด์พูดให้ฟังหลายครั้งว่าการทำซีรีส์เรื่องนี้มันโอเวอร์บัดเจดไปถึง 3 เท่า เพื่อให้ผลงานออกมาดูแพงสมจริง แล้วลิมิตของเรื่องนี้อยู่ตรงไหน
เขาเล่าให้เราฟังว่าเรื่องที่ลือกันอยู่ในโซเชียลเป็นเรื่องจริง นั่นคือ มีอยู่วันหนึ่งทางกองได้ไปปิดโรงแรมโรสวูด (Rosewood Bangkok) ซึ่งเป็นโรงแรมที่แพงมาก เพื่อถ่ายละคร แล้วเขาก็ควักเงินในบัญชีส่วนตัวจ่ายโน่นจ่ายนี่มาโดยตลอดไม่บอกใคร จนกระทั่งจ่ายเงินค่าอาหารแล้วถึงรู้ว่าเงินหมดเกลี้ยงโดยไม่รู้ตัว
“ผมอยากกินผลไม้ เอาแบบดีๆ หน่อย จำได้เลยว่า 1500 พอกดจ่ายตังค์ปุ๊บ เงินหมด หมดจริงๆ แบบศูนย์บาท ซึ่งมันเป็นบัญชีที่ผมไม่คิดว่ามันจะหมด สมมุติว่าซัก 20 กว่าล้าน เราก็กดไปเรื่อย ไม่คิดว่ามันจะหมดแต่มันหมด ซีดเลย คิดว่าเราใช้ไปเท่าไรแล้ว แล้วก็ค่อยๆ ไปอธิบายให้น้องสาวซึ่งเราให้เขาลาออกมาคุมไฟแนนซ์ฟัง ทุกคนช็อคไปเลย
แต่ ณ วันนั้นต้องบอกตรงๆ ว่ามันถอยไม่ได้แล้ว ถ้าเราอยากได้ความแพงมันก็ต้องแพง อยากได้ของดีคุณก็ต้องจ่าย เหมือนไวน์ดีๆ ไม่มีทางถูก มันคือ fact เพราะคินน์พอร์ชมันคือ genre แบบนั้น ผมจำเป็นต้องทำให้มันถึง ผมคิดว่าทำไมเกาหลีทำได้ ลองดูแล้วกันเว้ย วันนี้เราอาจจะยังเจ๊ง แต่มันต้องมีคนเห็นแหละ ก็คิดไว้แบบนั้น แต่ในใจลึกๆ คิดว่า กูเก่ง (ทุกคนเฮ แล้วปรบมือให้กับคำนี้กันดังลั่น) แต่ไม่กล้าพูดมาก”
คุณปอนด์บอกว่าตอนนั้นต้องทำไปก่อน เดี๋ยวค่อยดูวิธีหาเงินทีหลัง ซึ่งเขามั่นใจว่าตัวเองหาเงินมาได้อย่างแน่นอน
“ทำให้ดีก่อน เดี๋ยวมันจะมีทางของมันแหละ พวกเวิลด์ทัวร์อะไรนี่ก็ใช่”
ขณะที่คุณป๊อปปี้ขอเสริมว่า ผู้จัดซีรีส์วายมีแบบนี้เยอะ ที่ทำไปก่อน จ่ายไปก่อน แต่สเกลไม่เท่าของคุณปอนด์ที่เขาบอกว่า มันเป็นอีกเลเวลหนึ่งไปแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าบัดเจ็ตของ คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ จะมากแค่ไหนนั้น คุณปอนด์ไม่ได้ให้ตัวเลขมา เพียงแค่บอกว่าหลายโปรเจคต์ที่เคยคิดไว้ว่าจะทำ อย่างสร้างบ้านริมทะเลก็หายไปหมดแล้ว
แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็พิสูจน์ว่าเขาคิดไม่ผิด เพราะไม่ได้เพียงแค่ฉายซีรีส์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เท่านั้น แต่มันยังสามารถต่อยอดมาถึงการจัดเวิลด์ทัวร์ การขาย merchandise ต่างๆ
“การขายบัตรคินน์พอร์ชมันเป็นแสตทที่เคลมได้ว่าสูงที่สุดในคอนเสิร์ตไทยที่มีมา” คือ ตั๋วอิมแพคอารีนา 2 รอบขายหมดเกลี้ยง แล้วยังมีบัตรสตรีมมิงที่สูงกว่าคอนเกาหลีที่จัดในไทยด้วย แล้วโปรดักชั่นสวยด้วย มันเป็นปรากฎการณ์ที่ผมภูมิใจ มีคนดูจากกว่าร้อยประเทศทั่วโลก
ปรากฎการณ์ความดังของ คินน์ พอร์ช เดอะ ซีรีส์ ได้รับการการันตีจากศิลปินที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมานานอย่าง กบ - ทรงสิทธิ์ รุงนพคุณศรี ที่ไปรัสเซียแล้วไปเจอแฟนคลับคินน์พอร์ชมารุมล้อม
“พี่เค้าบอกว่าอยู่วงการมาสามสิบปีไม่เคยเป็นแบบนี้ มันดังมากแล้วนะเนี่ย พี่กบไปนั่งอยู่ในสวนที่รัสเซียท่ามกลางแฟนคลับคินน์ พอร์ช ซึ่งร้องเพลงประกอบภาษาไทยกันดังลั่นสวน เค้าบอกว่าไปกับท่านทูตแล้วท่านทูตยังถึงกับงง”
- ปรากฎการณ์ที่เกิดจาก “ความไม่ปกติ”
สุดท้ายนี้ ปอนด์ - กฤษดา บอกกับเราว่ามีคำหนึ่งที่เขาอยากพูดออกไปเพื่อคนที่ผ่านจะได้รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เป็นอยู่นี้มันจะไม่เกิดขึ้นจากคนปกติ
“ผมกล้าบอกว่ามันต้องเป็นคนที่ผิดปกตินิดหนึ่ง แต่มันจะผิดปกติในเวย์ไหนมันต้องแล้วแต่ แต่ผมว่าทุกคนที่คิดและทำโปรเจคต์นี้ แม้แต่นักเขียน เค้าคือคนไม่ปกติ เค้าเลือกความไม่ปกติในข้อที่มันดีออกมาพอร์เทรย์เป็นเรื่องนี้ ทางด้านนักแสดงเองก็ไม่ปกติ แต่มันคือความไม่ปกติที่กลมกล่อม”
มีคนรักมากมายขนาดนี้ แล้วมีแผนจะทำ “KinnPorsche The Series” ภาค 2 ออกมาให้ดูกันหรือไม่
เรื่องนี้ ปอนด์ - กฤษดา บอกว่าคงต้องใช้เวลาซักพัก เพราะคนแบบเขาไม่เคยเลือกเส้นทางที่ธรรมดา