'จ๊ะ นงผณี' โดนแฟนคลับด่าแรงออกไมค์หน้าเวที
"จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย" เผยสาเหตุเลิกราแบบหมดเปลือก หลังประกาศยุติความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม "แจ๊ค-ธนพล สัมมาพรต" เล่าเหตุการณ์ที่ทำให้อยากออกจากวงการ เพราะโดนแฟนคลับด่าแรงออกไมค์หน้าเวที
แรงมาก "จ๊ะ-นงผณี มหาดไทย" ลูกทุ่งสาว เปิดใจพูดครั้งแรก เผยถึงสาเหตุเลิกราแบบหมดเปลือก หลังประกาศยุติความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่ม "แจ๊ค-ธนพล สัมมาพรต" ปิดฉากความรัก 7 ปี เล่าเหตุการณ์ที่ทำให้อยากออกจากวงการ เพราะโดนแฟนคลับด่าแรงออกไมค์หน้าเวที
ตอนนี้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง มีเรื่องให้เราตื่นเต้นและมีความสุขได้ทุกวันไหม แสดงว่าคุณมีทุกอารมณ์ในทุกวัน ?
จ๊ะ นงผณี : ใช่ค่ะ ทุกวัน
เรื่องการประกาศบอกลาแฟน ซึ่งในครั้งนี้คุณมีจุดยืนที่ชัดเจนมาก ที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?
จ๊ะ นงผณี : คือก่อนที่จะประกาศ เราต้องคิดเยอะมาก เพราะว่าคบกันมา 7 ปี เคยเลิกกันครั้งหนึ่ง แล้วครั้งนี้มันเป็นอะไรที่แบบว่าเรามั่นใจแล้วหรือยัง เพราะถ้าออกไปประกาศ ปุ๊บ! แล้วกลับมาดีกัน กลายเป็นเราเหมือนเด็กเล่นขายของ ซึ่งเราโตกันแล้วทั้งคู่ ครั้งนี้มันก็เลยมีการคิดเยอะมากๆ ทั้งหนูและพี่เขา ซึ่งจริงๆ เรารักกันมากเลยนะ หนูก็รักพี่เขา เขาก็รักหนู แต่ความรักอย่างเดียวมันไม่สามารถนำพาให้ไปเป็นชีวิตคู่ได้ มันเลยเป็นข้อที่แบบว่าวันนี้เราจบกันด้วยดี มีอะไรก็สนับสนุนกันเป็นพี่เป็นน้อง ความรักครั้งนี้มันทำให้หนูรู้สึกว่าการชัดเจนมันดีแต่ไม่จำเป็นต้องชัดเจนทุกเรื่องในชีวิต หมายความว่าต่อไปนี้เรื่องความรักหนูรู้สึกว่าถ้าอันไหนที่เราไม่ได้มั่นใจเลย จะไม่มีทางออกมาบอกชัดเจนเหมือนจ๊ะคนเดิม ไม่อยากเป็นแบบนั้นแล้ว
แต่เราก็โตขึ้นและได้เรียนรู้ไง ในวันนั้น 10 ปีที่แล้วกับวันนี้พี่เองก็ยังเป็นคนละคนเลย ซึ่งมันคือความจริง ?
จ๊ะ นงผณี : มันเป็นความจริง แต่เราต้องรู้ว่าความจริงกับความสบายใจของเราบางทีมันไม่ค่อยได้ไปด้วยกัน ความจริงคือบอกว่าฉันคบคนนี้นะแต่โลกโซเชียลทุกวันนี้มันไม่ได้ทำให้เราสบายใจนะ พอเป็นข่าวมันจะมีคอมเมนต์ลบๆ เยอะกว่า คอมเมนต์ที่มันไปทางที่ดี แล้วเรากลับเป็นคนที่ต้องไปอ่าน ก็เหมือนเป็นคนโรคจิตชอบอ่าน ก็เลยรู้สึกว่าไม่ว่าจะ รัก เลิกทะเลาะนิดหนึ่ง หรือบางทีไม่ได้ทะเลาะแค่โพสต์สตอรี่ เป็นข่าวปุ๊บ! หนูโดนด่าแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าฉันไม่ได้เปิดตัวว่าเป็นใครยังไงในอนาคตก็จะไม่มีประเด็นที่ต้องมาโยง
ใช้เวลาคิดกันนานไหมทั้งคู่กว่าจะติดสินใจว่าพร้อมประกาศแล้ว ?
จ๊ะ นงผณี : เอาจริงๆ ใช้เวลาคิดกันนานนะคะ มันเหมือนกับฟางเส้นสุดท้าย ตอนแรกเราคิดว่าเราเป็นคนเข้มแข็ง แต่พอจะโพสต์แค่โพสต์เดียว พิมพ์ลบๆ ๆ แล้วส่งไปให้เขาว่าจะโพสต์ประมาณนี้นะ ว่าให้ทำยังไงให้มันจบแค่โพสต์เดียว เราไม่อยากที่จะไปพูดที่ไหนอีกเลยทั้งหนูและพี่เขาเพราะว่าไม่อยากไปสัมภาษณ์อะไรแล้ว ซึ่งมันจะมีรายละเอียดนิดหนึ่งค่ะ
เป็นเดือนไหม ?
จ๊ะ นงผณี : เป็นเดือนค่ะ
คุณทั้งคู่ก็ผ่านกันมาทุกอย่างแล้ว และเป็นแฟนที่อยู่เหมือนเป็นเพื่อนแล้วด้วยซ้ำไป ณ วันนี้น่าจะจับมือกันไปได้เรื่อยๆ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรแน่นอน ?
จ๊ะ นงผณี : ค่ะ นี่แหล่ะคำว่าเพื่อนนี่แหล่ะ ก็ถึงอยู่กันแบบเป็นเพื่อนดีกว่า เพราะหนูถึงบอกว่าความรัก ให้รักกันมากเลยนะแบบตายแทนกันได้ แต่สุดท้ายแล้วมันมีหลายปัจจัยที่จะไปเป็นชีวิตคู่ มีหลายเรื่องที่รักอย่างเดียวไม่ได้นะ มียิบๆย่อยๆ ที่เขาอาจจะบอกว่าหนูเรื่องนี้พี่ไม่ชอบ หนูก็ทำให้ไม่ได้ หรือหนูบอกว่าพี่หนูไม่บอกเรื่องนี้เลยไม่โอเค เขาก็ทำให้หนูไม่ได้ บางทีมันเป็นเรื่องเล็กๆ มากแต่พอพูดกันแล้วมันทำให้กันไม่ได้ เราเดินมา 50/50 กันไม่ได้ ก็คุยกันแล้วให้มันจบแค่นั้น ก็เป็นเพื่อนกันไป เราไม่เห็นต้องบอกเพื่อนเลยว่าไม่ชอบเรื่องนี้เลยห้ามทำนะ บางทีเพื่อนทำไม่ได้เราก็ยังคบเพื่อนอยู่ เพราะฉะนั้นคำว่าเพื่อนนี่แหล่ะเดินกันไปแบบเพื่อน
ตอนนี้เราอาจจะได้เห็นอะไรใหม่ในชีวิตโสดของ จ๊ะ นงผณี การต้องพึ่งตัวเองหรืออยู่กับตัวเองให้ได้ก็ท้าทายไปอีกแบบ พี่ว่าคุณทำได้ ?
จ๊ะ นงผณี : ท้าทายมาก คือตอนเรามีหน้าที่แค่ร้องเพลง พอมีพี่เขาอย่างเรื่องง่ายๆ รถต้องเอาไปเข้าศูนย์ ประกันรถเราไม่รู้เรื่องเลย เขาจัดการให้เราหมด เรื่องเล็กๆ แค่นี้แต่เราก็ไม่รู้เรื่อง แต่พอต้องมาถึงเราเองแบบนี้
แล้วยังงี้เราไม่สามารถให้ผู้ช่วยดูแลให้ได้เหรอ ?
จ๊ะ นงผณี : มีค่ะ คนรอบข้างหนูมี แต่เราไม่เคยให้เรื่องแบบนี้กับเขาเลย แล้ววันนี้คนรอบข้างเริ่มจะต้องช่วยแล้ว
หลายครั้งที่เราเห็นภาพว่า จ๊ะ นงผณี เป็นคนที่สตรองมาก เจออะไรก็ทนได้หมด ดูเหมือนโนสนโนแคร์ แต่บางทีมันก็มีมุมที่อ่อนไหวมากขนาดไหนเล่าให้ฟังหน่อย ?
จ๊ะ นงผณี : โอ้โห เราอยู่ในจุดที่เราร้องไห้กับใครไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อง พ่อแม่ เพราะรู้สึกว่าถ้าหนูร้องไห้ไปพ่อแม่เป็นห่วงหนูเลย กับพี่เราก็ร้องไม่ได้ เพราะรู้สึกว่าเราเป็นหัวหน้าคน มันจะนั่งร้องไห้กับคนทุกคนไม่ได้ สุดท้ายแล้วต้องมาร้องไห้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าทำไมมันต้องเป็นกูนะ ไม่น่าจะเป็นเราเลยเรื่องนี้ ก็ทำได้แค่ร้องไห้ในห้องคนเดียว ความเปลี่ยนของสังคมแล้วก็ตัวเราทุกวันนี้ คือเมื่อก่อนเราเป็นนักร้องลูกทุ่งเราจะได้เล่นงานวัด งานเทศบาล เลานจ์ก็มีบ้าง แล้วความชัดเจนของเราคือ ร้อง เซ็กซี่ เต้น แต่ทุกวันนี้ตั้งแต่เรามีเพลงคอแห้ง Target ลูกค้าเราเปลี่ยน แฟนคลับเราเปลี่ยนคือคนที่ชอบดื่ม แล้วพี่คิดดูว่าต้องไปเล่นให้คนชอบดื่มดูเป็น 500-1000 คนในผับ
แล้วเวลาที่ขึ้นมาตั้งแต่เที่ยงคืนตีหนึ่ง ณ ตอนนั้นทุกคนส่วนมากจะไม่ค่อยมีสติ ก็จะได้เจออะไรที่มันแปลกๆ มีไปเจองานหนึ่งแล้วกลับมารู้สึกว่าไม่อยากอยู่ในวงการนี้เลย เขาให้หนูขึ้นเวลาตี 1 ผับที่นั้นปิดตี 4 หนูขึ้นเพลงแรก ปุ๊บ! มีคนเดินมาแล้วด่าหนู เอารางวัลมาให้หนู 500 บาท แล้วบอกว่ามึงเป็น เ-ย อะไรมาขึ้นช้าจัง กูมารอมึงตั้งแต่ 3 ทุ่มแล้วอี _ด เราอยู่บนเวทีแล้วไปไงต่อพี่คะใจเย็นนะคะ เราก็รู้นะว่าเขาสติมันไม่มีแล้ว เขาให้หนูขึ้นตี 1 ค่ะ ไม่ใช่มึงมาช้าเอง อี_ด ด่าหนูแบบนี้ แล้วเหตุการณ์นี้เพิ่งเกิดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เป็นอะไรที่แบบฉันจะรับมือยังไงให้ไปต่อได้ เพราะถ้าเป็น จ๊ะจริงๆ คือลงเวที จ๊ะไม่ร้องแล้ว รู้สึกว่าฉันเฟลอ่ะ ก็เลยพูดว่าพี่คะพี่พูดใส่ไมค์เลย ซึ่งเขาก็ยังพูดคำเดิมของเขา เราก็ดึงไมค์กลับมาพี่หนูขอโทษนะคะ หนูเป็นแค่ลูกจ้างเขาจ้างหนูมาให้เล่นตี 1 ก็ต้องขึ้นตี 1 คนในร้านการ์ดก็เลยมาดึงเขาไป แต่เหตุการณ์นั้นทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยจังเลยไม่อยากอยู่แล้ววงการนี้
แล้วทำยังไงกับอารมณ์นั้นต่อ ?
จ๊ะ นงผณี : กลับมาสวดมนต์ คือหนูสวดมนต์นอนทุกคืน สวดมา 8-9 ปีแล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าผับนี้ฉันจะเมานะ จะสวดมนต์บนรถไปก่อนเลยที่กำลังไปงาน แต่วันนั้นด้วยความที่อารมณ์เรามันไม่ได้แล้วเพลงแรกหนูก็ไม่ได้ดื่มเลย คือเหมือนเราอั้นไว้ขึ้นรถก็ร้องไห้ไม่ได้ กลับมาร้องไห้โฮในห้องน้ำ ทำยังไงดีอยากกรี้ด ทำไมมันต้องเกิดกับเราค่อยๆ หายใจเขาแล้วก็ออกไปสวดมนต์ในห้องพระ แล้วก็พูดกับพ่อแก่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพว่าทำไมมันต้องเป็นกับเรา อันนี้คือวิธีแก้ของหนูที่ดีที่สุด แต่มันก็ไม่ได้หายเลยนะ ในขณะที่เราพูดก็ยังรู้สึก
ก่อนที่จะมี เพลงคอแห้ง คุณก็เล่นตอนดึกๆ อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ กับกลุ่มคนที่ไม่มีสติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ?
จ๊ะ นงผณี : ใช่ค่ะ แต่ไม่ได้เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลย ก่อนที่จะมีเพลงคอแห้ง หนูเล่นงานวัด ผับ ก็มีบ้าง แต่คนที่มาจะดูเราร้องเพลง ดูเราโชว์ 80% อีก 20% เขาอาจจะดื่มแล้วเฮฮาปาร์ตี้ แต่ตอนนี้คนที่มาคือคนที่มาดูจ๊ะ เดี๋ยวกูจะมอมเขา แล้วกูจะต้องกินก่อนเลยสร้างฟิลล์ ตอนนี้คนที่มาดื่ม 80% อีก 20% คือดูร้องเพลง
แล้วเราโอเคกับจุดยืนตรงนี้ไหม ?
จ๊ะ นงผณี : โอเคมากพี่ แต่ ณ ตอนนั้นที่เราเจอกับคนนั้น เราไม่โอเคเลย แล้วเราก็เอาคนนั้นตัดสินทุกคนเลย แต่พอเวลามันผ่านมารู้สึกว่าคนที่เขาดีกับเรา งานที่เราไปเล่นที่ผ่านมาใน 2 ปีเกิน 600-700 งาน เราเจอคนเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน คนที่เขาดีกับเราเยอะมาก แต่เรากลายไปโฟกัสกับคนๆ เดียวทำไม เราจะมานั่งถามตัวเอง ความคิดเปลี่ยน
งานเยอะมาก มีซ้อนกันบ้างไหมบางที ?
จ๊ะ นงผณี : เราจะวิ่งได้เต็มที่ไม่เกิน 3 งาน แต่ถ้าวิ่งเต็มที่บ่อยๆ เลยก็จะแค่ 2 งานเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่างานแรกเราจะเจอสถานการณ์แบบไหน ถ้าสมมุติว่างานแรกเป็นงานภายใน งานที่ 2 เราจะไม่รับเลย เพราะงานภายในมันต้องจอย คนที่หาจ๊ะไปคือทุกวันนี้ ร้องเพลงร้องไปเถอะ แต่เธอต้องจอยกับฉันนะ ณ วันนี้ภาพเรามันเปลี่ยน เป็นเอนเตอร์เทนเต็มตัว
แล้วทุกวันนี้บริหารความมีสติ ไม่มีสติ ในตัวคุณยังไง ?
จ๊ะ นงผณี : ถ้าขึ้นไป 9 เพลงแรกเราจะไม่ดื่มเลย เรารู้สึกว่า 80% ที่ดื่ม ก็ยังมีอีก 20% ที่ไม่ดื่มและอยากฟังเพลง เพราะฉะนั้นจริงๆ หนูต้องเล่นแค่ 1 ชั่วโมง แต่หนูเล่นให้ 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะ 30-40 นาทีแรกคุณฟังเพลงเลย แต่พอหลังจากเพลงที่ 9 เราจะเริ่มจอย เพราะถ้าดื่มตั้งแต่ 3 เพลงแรกไม่ได้ร้องแล้ว เพราะฉะนั้นก็ต้องบาลานซ์ให้ได้ค่ะ
cr. WOODY INTERVIEW