นอกจากเพิ่ม 'น้ำแข็ง' แล้ว 'อเมริกาโน่' ยังเติมอะไรได้อีก!

นอกจากเพิ่ม 'น้ำแข็ง' แล้ว 'อเมริกาโน่' ยังเติมอะไรได้อีก!

จากกาแฟร้อนในตำนานสงครามโลกครั้งที่ 2 สู่เมนูกาแฟเย็นขวัญใจมหาชน 'อเมริกาโน่' ต่อยอดเพิ่มด้วยการเป็นเครื่องดื่มค็อกเทลกาแฟ

ต้องยอมรับว่า 'อเมริกาโน่' (Americano) เป็นหนึ่งในเมนูกาแฟที่มีพัฒนาการอย่างน่าสนใจมาก ๆ ในวิถีวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มของชนชาวโลก รู้จักกันดีในฐานะเครื่องดื่มกาแฟที่มีรสกล่อมกลม ให้กลิ่นหอมละมุนของกาแฟคั่วไหม้จาง ๆ ถือเป็นเมนูหลักประจำร้านกาแฟยุคบุกเบิก ร่วมสมัยและควบคู่ไปกับเอสเพรสโซ่, คาปูชิโน่, ลาเต้ และมอคค่า 

อเมริกาโน่เป็นคำที่คนอิตาเลี่ยนเรียกชาวอเมริกัน ชื่อนี้ถูกนำใช้ในความหมายของเมนูกาแฟตัวหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 'ทหารอเมริกัน' รุกคืบเข้าสู่อิตาลีราวปีค.ศ.1940

เรื่องนี้เป็นตำนานที่มีบันทึกไว้ให้รับรู้กันทั่วไปว่า บาร์กาแฟในดินแดนรูปคล้ายรองเท้าบูทนั้น นิยมเสิร์ฟ 'เอสเพรสโซ่' เป็นกาแฟตัวหลัก พอทหารจีไอสั่งมาดื่มบ้าง ก็ให้ขัดใจนัก รู้สึกว่ารสชาติออกจะขมและเข้มเกินไป เพราะปกติดื่มกาแฟต้มกาที่เจือจางกว่านี้มาก เลยขอให้คนชงเติมน้ำลงไปเพื่อตัดลดรสขม ทำให้ดื่มงายขึ้น

นับจากบัดนั้น เลยเกิดเมนูตัวใหม่ขึ้นในอิตาลี เรียกว่า 'Caffè Americano' แปลตรงตัวก็กาแฟอเมริกัน หรือกาแฟอเมริกาโน่นั่นเอง

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

อเมริกาโน่เป็นกาแฟร้อนดั้งเดิมของอิตาลี เกิดจากเอสเพรสโซ่ 1 ช็อต ตามด้วยน้ำร้อน เพื่อเจือจางความขมเข้มของรสกาแฟ  (ภาพ : Anja จาก Pixabay)

อีก 70-80 ปีต่อมา เกิดมีคนเอาน้ำแข็งก้อนไปใส่ กลายเป็นเมนูใหม่อีกเรียกว่า 'อเมริกาโน่เย็น' (Iced Americano) ที่แรก ๆ ก็มีทั้งคน 'รับได้' และ 'รับไม่ได้' ต่อการเปลี่ยนแปลงที่ต่างไปจากสูตรดั้งเดิม ถกเถียงกันจนโด่งดังเป็นบิ๊กดราม่าระดับประเทศในหลาย ๆ ชาติ ก็รวมไทยเราด้วยนั่นหละ

แต่ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ 'ดราม่า' จากสูตรร้อนมาเป็นสูตรเย็น กระทั่งดราม่าเติม/ไม่เติมน้ำตาลหรือนม ล้วน 'จบ' ไปตั้งนานแล้ว แม้จะมีคนไม่ยอมรับอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าอเมริกาโน่เย็นนั้นได้รับความนิยมสูงมาก ๆ ไม่เฉพาะในเอเชียแต่รวมทั่วโลก รวมไปถึงร้านกาแฟพิเศษดัง ๆ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งบรรจุให้เข้าไปอยู่ในหมวดกาแฟเย็นอีกด้วย

ทุกวันนี้ อเมริกาโน่เย็นมีสูตรใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลากหลายไม่แพ้เอสเพรสโซ่ 'อเมริกาโน่น้ำส้ม' (Orange Americano) หรือน้ำผลไม้อื่น ๆ ทำดื่มกันตามบ้านแล้วก็มีขายกันตามร้านกาแฟทั่วโลก  ในสหรัฐอเมริกา 2-3 ปีให้หลัง สูตร'อเมริกาโน่วิปครีม] (Whipping Cream Ice Americano) เริ่มมาแรง ก็ใช้อเมริกาโน่เย็นตามด้วยวิปครีมหยอดด้านบนให้เป็นเลเยอร์ หรือให้วิปครีมไหลชอนไชลงไปในเนื้อกาแฟ ดูคล้ายภูเขาตอนกลางคืนที่แทรกซ้อนด้วยหิมะขาวโพลน ส่วนวิปครีมก็มีหลายสูตรแล้วแต่จะออกแบบรสชาติให้เป็นแบบไหน

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

ทุกวันนี้ อเมริกาโน่มีสูตรใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลากหลายไม่แพ้เอสเพรสโซ่ รวมทั้งอเมริกาโน่เย็น หรือ Iced Americano ด้วย  (ภาพ :  Marisa Buhr Mizunaka)

ถ้าเอ่ยถึงกาแฟบวกวิปครีม หลายคนคงนึกถึง 'กาแฟเวียนนา' ออสเตรียต้นตำรับใช้เอสเพรสโซ่เป็นฐาน ตามด้วยวิปครีม อ้อ..กาแฟตัวนี้เป็นเมนูร้อน แต่ในระยะหลังก็เห็นนำอเมริกาโน่มาใช้แทนเอสเพรสโซ่กันบ้างแล้วในบางร้าน

อีกเมนูที่เพิ่งฮิตในอเมริกาแต่บ้านเรามีกันหลายปีแล้ว คือ 'สปาร์กลิง เลม่อน อเมริกาโน่' (Sparkling Lemon Americano) สูตรนี้ก็เพิ่มน้ำโซดาเข้าไปด้วย แล้วกลิ่นผลไม้ก็เปลี่ยนได้ตามใจชอบ จะเลือกใช้ส้ม, มินท์ หรือลาเวนเดอร์ ก็ได้ตามใจปรารถนา

มองย้อนกลับไปในอดีต แรกเริ่มเดิมทีนั้น อเมริกาโน่เป็นกาแฟ 'สูตรร้อน' โดยกำเนิด เกิดจากนำเมล็ดกาแฟคั่วเข้มมาสกัดเป็นเอสเพรสโซ่ 1 ช็อต แล้วเจือจางด้วยน้ำร้อน ทำให้ความเข้มข้นน้อยลงไปมาก เหมาะกับคอกาแฟที่ไม่ชอบรสเข้มข้นหรือรสแก่จัดของกาแฟดำ มีฟองเครม่าบาง ๆ ลอยตัวเหนือแก้ว

ว่ากันว่าในเชิงเทคนิคแล้ว น้ำร้อนที่มีอุณหภูมิสูงกว่าเอสเพรสโซ่ช่วยลดเปรี้ยวของกาแฟลงได้ แถมช่วยปรับสมดุลความเข้มข้น ทำให้ดื่มง่ายขึ้น

นอกจากน้ำแข็งแล้ว กาแฟอเมริกาโน่ยังเพิ่มอะไรได้อีก? ถึงขั้นต้องตกใจกันไหม?

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

สปาร์กลิง อเมริกาโน่ ของพาร์ทเนอร์ส คอฟฟี่ (Partners Coffee) โรงคั่วควบร้านกาแฟพิเศษในนครนิวยอร์ก  (ภาพ :  instagram.com/partnerscoffee)

แม้พื้นฐานจะเป็นเอสเพรสโซ่เติมน้ำร้อน แต่อเมริกาโน่ก็ถูกเพิ่มเติมด้วยตัว 'ปรุงแต่ง' รสชาติมาเนิ่นนานแล้ว ตามรสนิยมอย่างผู้ดื่ม เช่น น้ำตาลทราย, นม, ครีม, น้ำเชื่อมไซรัป, น้ำผึ้ง, ช็อกโกแลต, เครื่องเทศ, เปลือกผลไม้, น้ำผลไม้ และฯลฯ ถือเป็น 'เรื่องปกติ' ของวัฒนธรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ปรับเปลี่ยนไปตามสภาพของแต่ละท้องถิ่นอยู่ตลอดเวลา

ดูจาก 'พิซซ่า" ที่เกิดจากอิตาลีและแพร่กระจายไปทั่วโลกในเวลานี้ สูตร, วิธีทำและท็อปปิ้งในแต่ละประเทศแตกต่างกันไปมากจากต้นตำรับ แทบจำเค้าเดิมไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติหรือแปลกประหลาดแต่ประการใด

ใช่ครับ... ที่อิตาลีมีการรณรงค์เพื่ออนุรักษ์สูตรพิซซ่าดั้งเดิมเอาไว้ บอกเลยว่าผู้เขียนเห็นด้วยและสนับสนุนเต็มที่ แต่จะไปบอกให้ร้านพิซซ่าในประเทศอื่น ๆ เค้าทำสูตรเหมือนต้นตำรับเป๊ะ ๆ... ไม่ได้นะครับ เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำ

ใครว่าคนอิตาลีไม่ดื่มกาแฟเย็น...ร้านกาแฟหรือบาร์เอสเพรสโซ่แบบเดิม ๆ ในอิตาลี มีเมนูเย็นเป็นทางเลือกให้น้อย แต่ไม่ใช่ไม่มีเอาเสียเลย เมนู 'คาเฟ่ ชาเคอร์อาโต้' (Caffe Shakerato) ก็หนึ่งล่ะ ส่วนร้านกาแฟยุคใหม่สไตล์อินดี้ ก็ปรับตัวให้สอดรับเทรนด์ของโลก มีเครื่องดื่มให้เลือกมากขึ้น รวมไปถึงเมนูกาแฟเย็นด้วย

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

โคลด์ บรูว์ อเมริกาโน่ ค็อกเทลกาแฟ สูตรของร้านเจแอนด์โทนี่ส์ ดิสเคาท์ เคียวร์ มีทส์ แอนด์ เนโกรนี แวร์เฮ้าส์ ในแคลิฟอร์เนีย  (ภาพ : instagram.com/prosciuttoboyz)

ในระยะ 4-5 ปีหลังมานี้เอง อเมริกาโน่ที่เสิร์ฟตามร้านกาแฟเอเชีย-แปซิฟิก ถูกปรับจาก 'เมนูร้อน' เป็น 'เมนูเย็น' ตามรสนิยมของผู้บริโภคที่ชอบดื่มกาแฟเย็นมากกว่า 

'อเมริกาโน่เย็น' ได้รับความนิยมสูงมากในเกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, จีน, อินเดีย และชาติสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะในเกาหลีใต้นั้น ถูกสถาปนาให้กลายเป็นเครื่องดื่มประจำชาติอย่างไม่เป็นทางการไปเสียแล้ว ในบ้านเราก็จัดเป็นหนึ่งในเมนู 'ขวัญใจมหาชน'

เป็นเพราะเหตุใดหรือ...ตามความคิดของผู้เขียนเอง หนึ่งนั้นเป็นไปตามเทรนด์ของคนรุ่นใหม่ที่หันมาชอบกาแฟเย็นและกาแฟดำ ตอบโจทย์เรื่องชงเร็ว ดื่มง่าย ไม่นม และไม่แพง

สองนั้นเป็นไปตามสภาพอากาศ โดยเฉพาะเขตร้อนอย่างประเทศไทยที่มักพูดกันติดปากว่า'ร้อนต้องสยบด้วยเย็น' หลายคนตั้งคำถามว่าตอนกลางวันแดดเปรี้ยง ๆ แล้วสั่งเมนูร้อนมาดื่ม มันจะสดชื่นไปได้ยังไงกันเนี่ย

สามนั้นเดี๋ยวนี้ร้านกาแฟไม่ได้ใช้เมล็ดกาแฟคั่วเข้มอย่างเดียว มีหลายระดับเพิ่มมาเป็นตัวเลือก เช่น คั่วอ่อนและคั่วกลาง บอกเลยว่าอเมริกาโน่เย็นคั่วกลาง ผู้เขียนชอบใจเป็นพิเศษ เพราะได้หวานจากรสกาแฟธรรมชาติ ไม่ต้องเติมน้ำตาลทรายหรือไซรัปน้ำเชื่อม

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

อเมริกาโน่เย็นกับวิปครีม จากร้านชาดแดรชส์ คอฟฟี่ (Shadrachs Coffee) ในสหรัฐอเมริกา  (ภาพ : facebook.com/shadrachscoffee)

ว่ากันตามตรง ถ้ากาแฟร้อนเติมหวานได้ กาแฟเย็นก็ควรเติมหวานได้เช่นกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหรือชวนให้สงสัยใจ หากคนชงหน้าร้านหรือบาริสต้าจะเอ่ยปากถามลูกค้าที่สั่ง 'ออร์เดอร์' อเมริกาโน่เย็นว่า หวานมากกกหรือหวานน้อยยย? รวมไปถึงคำถามที่ตามมาอีกว่า คั่วกลางหรือคั่วเข้ม?

ประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นว่าคนชงกาแฟใส่ใจลูกค้า พยายามทำเครื่องดื่มออกมาให้ถูกใจลูกค้ามากที่สุด ถือเป็นหน้าที่หนึ่งของคนชงก็ว่าได้ ก็คนไทยยังนิยมเครื่องดื่มชากาแฟรสหวาน ๆกันอยู่นี่นา ขืนไม่ถามไถ่กันก่อน อาจโดนบ่นให้ 'เสียเซลฟ์' ได้ว่าทำไมกาแฟมันขมจัง

เพราะความที่แต่ละคนมีรสนิยมไม่เหมือนกัน...การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มจึงมักถูกแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ 'สายคอนเซอร์เวทีฟ' ที่ชอบความดั้งเดิม รักในคุณค่าของอะไรที่เป็นต้นตำรับแท้ ๆ  กับ 'สายอัลเทอร์เนทีฟ' ที่ชอบความหลากหลายหรืออะไรที่เป็นทางเลือกใหม่ ๆ แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธต้นตำรับดั้งเดิม

นอกจากเพิ่ม \'น้ำแข็ง\' แล้ว \'อเมริกาโน่\' ยังเติมอะไรได้อีก!

อเมริกาโน่เย็น เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา  (ภาพ : dae jeung kim จาก Pixabay)

ดังนั้น ขออย่าได้แปลกใจหากไม่เจอเมนูอเมริกาโน่เย็นตามร้านกาแฟต่างประเทศ ขนาดเมนูนี้ยังไม่มี 'เอสเพรสโซ่เย็น' ไม่ต้องถามถึง ถ้าสงสัยก็ถามทางร้านได้ครับว่าทำไมไม่มี แล้วก็ลองมองหาเมนูกาแฟดำเย็นยุคใหม่ดูว่ามีเสิร์ฟตัวไหนบ้าง อย่างน้อยต้องมีกาแฟสกัดเย็นหรือโคลด์บรูว์ บ้างแหละน่า จะมีแต่เมนูร้อนอย่างเดียว ก็ไม่น่าใช่นะ

ถ้ามองในแง่ของความหลากหลาย บาร์ค็อกเทลในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ชื่อยาวเป็นขบวนรถไฟฟ้าอย่าง 'เจแอนด์โทนี่ส์ ดิสเคาท์ เคียวร์ มีทส์ แอนด์ เนโกรนี แวร์เฮ้าส์' จับเอากาแฟอเมริกาโน่ เติมลงไปในสูตรค็อกเทลของอิตาลีนามว่า 'อเมริกาโน่ ค็อกเทล' (Americano Cocktail) ที่มีส่วนผสมของคัมพารี, เวอร์มุตสีแดงหวาน และคลับโซดา เสิร์ฟพร้อมน้ำแข็งก้อนตกแต่งด้วยส้มฝาน

ก็ประมาณ กาแฟอเมริกาโน่xอเมริกาโน่ ค็อกเทล แล้วก็ตั้งชื่อเสียใหม่ว่า 'โคลด์ บรูว์ อเมริกาโน่' (Kold Brew Americano) ใช่ครับ..ร้านนี้เขาใช้ตัว K แทนตัว C ในคำว่า cold

นี่ก็แหละครับ นอกจากเพิ่ม 'น้ำแข็ง' แล้ว  'อเมริกาโน่' ยังเติมอะไรได้อีกตั้งมาก!

.............................

เขียนโดย : ชาลี วาระดี