10 ปีที่เป็นมะเร็ง : โบ เจ้าของเพจแม่บ้านคีโม เลือกสุขจากทุกข์ได้อย่างไร
ทุกข์ทั้งกายและใจจากการป่วยเป็นมะเร็ง และยังทุกข์ที่แม่จากไปด้วยมะเร็ง เคยคิดสั้น ๆ และสิ้นหวัง แต่วันนี้เจ้าของเพจแม่บ้านคีโม ที่ชอบทำอาหารเปลี่ยนความทุกข์เป้นสุขได้อย่างไร
10 ปีกับการอยู่กับโรคร้ายมะเร็ง เคยทุกข์สุดๆ และอยากฆ่าตัวตาย แต่ที่สุดแล้วเลือกหาความสุขจากความทุกข์ น่าจะดีกว่า โบ-เสาวณิช ผิวขาว คอลัมนิสต์ เพจชมรมผู้ป่วยมะเร็งเต้านมแห่งประเทศไทย และเจ้าของเพจ แม่บ้านคีโม SuperBowl เปิดบ้านเป็นร้านอาหารและรับออเดอร์อาหารเซ็ตงานต่างๆ หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา ร่วมกับคุณหมอเรือนขวัญ กัณหสิงห์ และอาจารย์แสวง บุญเฉลิมวิภาส ในหัวข้อ“ธรรมะบำบัดความป่วยได้จริงหรือ” เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ
กว่าจะหาสุขได้จากทุกข์ โบก็ทุกข์ทั้งกายและใจจากการป่วยเป็นมะเร็ง และยังทุกข์ที่แม่จากไปด้วยมะเร็ง ลองนึกถึงภาพสองคนแม่ลูกพากันไปหาหมอ เพราะป่วยเป็นมะเร็งเหมือนกัน และยังทุกข์ที่พี่ชายจากไปอีกคน จึงเหลือเพียงโบคนเดียว
ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ต่างจากหลายคน ซึมเศร้าและไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร แต่ที่สุดแล้ว เธอเลือกที่จะมีความสุขจากความทุกข์ เพราะลิ้นชักแห่งความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับแม่ที่ให้ชีวิต
ล่าสุดโบเผชิญกับมะเร็งครั้งที่สาม นับตั้งแต่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม จากนั้นรักษาจนอาการดีขึ้น สุดท้ายมะเร็งกลับมาอีกที่กระดูกสันหลัง ช่วงระยะ10 ปี เธอจึงต้องวนเวียนอยู่กับมะเร็งและการคีโม จึงใช้วิธีทำอาหารเพื่อบำบัดจิตใจ และยังชักชวนผู้ป่วยระยะสุดท้ายมาหัดทำอาหารง่ายๆ เพื่อสร้างสีสันให้ชีวิต หรือจะแวะมาพูดคุยภาษามะเร็งกับเธอที่ร้านก็ได้ โบว์จึงเป็นเสมือนแรงบันดาลใจให้คนที่สิ้นหวัง กลับมามีชีวิตชีวา
“ผู้ป่วยระยะท้ายๆ จะรับรสอาหารไม่ค่อยได้ขณะให้คีโม เราก็ต้องหัดทำอาหารให้น่ากิน มีสีสัน เราเป็นผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องให้คนมาดูแลตลอดเวลา ผู้ป่วยมักจะถามในเฟซบุ๊คเรื่องอาหารการกิน โบว์ก็แนะนำว่า ถ้าเคี้ยวได้ กินได้ กินเลย และมีความเชื่อว่า เนื้อสัตว์และของหวานกินไม่ได้ ไม่ควรกิน ถ้าหมอไม่ได้ห้าม ก็กินได้
ภาพ : เพจแม่บ้านคีโม
โบว์บอกเสมอว่า ที่อยู่มาได้สิบกว่าปี เพราะกินปกติ แต่กินในปริมาณพอเหมาะ เลือกอาหารปรุงสด สะอาด เลือกวัตถุดิบที่มีคุณภาพ ถ้าไม่กินอาหารจะมีแรงที่ไหนสู้กับเคมีบำบัด ทุกอย่างต้องอยู่บนทางสายกลาง
"อย่างโบรู้ว่า ต้องให้คีโมรอบสาม เราก็ไม่คิดไปก่อนว่า จะให้เคมีสูตรไหน เราจะฝากการรักษาไว้ที่หมอ โบมีหน้าที่รักษาใจตัวเอง จะไม่คิดล่วงหน้าว่าต้องแพ้ยาแน่ๆ "
โบรู้ตลอดเวลาว่า ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน การเขียนพินัยกรรมชีวิตไว้จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเธอ เพราะพ่อ แม่และพี่ชาย เสียชีวิตไปหมดแล้ว เมื่อต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอคิดว่า ถ้าวันนั้นมาถึง เราต้องทำอย่างไร
“โบคิดเสมอว่า จะทำยังไงไม่ให้คนรอบข้างเดือดร้อน พินัยกรรมชีวิตจึงมีความสำคัญมาก ”
แม้โบจะไม่มีครอบครัวอยู่ข้างๆ แล้ว แต่เธอคิดเสมอว่า ยังมีความรักของแม่ และเรื่องดีๆ ที่แม่ทำให้เธอ
“เมื่อไรรู้สึกท้อและเหนื่อยมากๆ ก็จะดึงลิ้นชักความทรงจำนั้นออกมา นึกถึงความรักของแม่ ทำให้โบมีกำลังใจ แม่เสียสละให้เรามากมาย แล้วเราจะจากไปง่ายๆ หรือ เราก็อยากมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นสะพานบุญส่งต่อให้แม่ พี่ชาย และพ่อ ทุกวันนี้ที่โบว์อยู่ได้ เพราะความรักของแม่"
ในฐานะที่เป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย และดูแลคุณแม่ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รวมถึงเป็นจิตสาสาที่เดินเข้าออกให้กำลังใจผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาลต่างๆ โบ บอกว่า ข้อแรก ถ้าผู้ป่วยระยะสุดท้ายยังพูดได้ ให้พูดความต้องการที่อยากทำกับญาติๆ
"เท่าที่โบเจอมาหลายกรณี ญาติมักคิดแทนผู้ป่วยทั้งหมด แม้เขาจะเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้าย เขาก็มีสิทธิเลือกความสุขสุดท้ายของเขา ญาติไม่รู้หรอกว่า ข้างในร่างกายเจ็บปวดแค่ไหน แล้วจะยื้อให้เขาอยู่ต่อไปหรือ
บางทีญาติๆ ก็คิดว่า ถ้าป่วยระยะสุดท้าย ห้ามกินข้าวเหนียวมะม่วง โบว์บอกว่ากินได้ เพราะเขากินไม่กี่คำ ก็กินไม่ได้แล้ว อะไรที่เป็นความสุขของเขาก็ควรให้ "