‘ซันโทรี่’ เดินหน้ารักษ์นํ้า 'มิตซุยกุ’ ปี 3 ปิดท้ายค่ายที่ จ.กระบี่

การเดินทางติดตามภารกิจสร้างพลเมืองเพื่อสิ่งแวดล้อม ในโครงการรักษ์น้ำ 'มิตซุยกุ' ของ 'ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย' ที่จ.กระบี่ สร้างความตื่นตัวให้กับเยาวชนไทยไม่น้อย
โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ เกิดขึ้นจาก ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ดำเนินงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2564 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ส่งต่อความรู้อนุรักษ์แหล่งน้ำและทรัพยากรธรรมชาติแก่เยาวชน
ในปี 2566 ดำเนินการใน 4 จังหวัด 4 ภูมิภาค แบ่งเป็นพื้นที่ต้นน้ำ จ.เชียงราย พื้นที่กลางน้ำ จ.อุบลราชธานี พื้นที่ปลายน้ำ จ.ฉะเชิงเทรา และพื้นที่ทะเล จ.กระบี่
ร่วมกับ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) จัดกิจกรรมค่ายรักษ์น้ำในพื้นที่ทะเล จ. กระบี่ วันที่ 27-29 ตุลาคม 2566
มีครูและนักเรียนจากโรงเรียนบ้านเกาะจำ อ.เหนือคลอง และ โรงเรียนอ่าวลึกประชาสรรค์ อ.อ่าวลึก รวม 30 คน มาร่วมเวิร์คช็อปเรียนรู้ธรรมชาติท้องทะเลและใต้น้ำ ณ อ่าวมาหยา
- เติบโตอย่างยั่งยืน
มร.โอเมอร์ มาลิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซันโทรี่ เบฟเวอร์เรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย และอินโดไชน่า กล่าวว่า หนึ่งในพันธกิจของเรา คือ ความรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสังคม
“เรามีความมุ่งมั่นสร้างผลกระทบเชิงบวกให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ เกิดจากความต้องการส่งเสริมและให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำปรัชญาของซันโทรี่ว่า Growing for Good เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน
ภายใต้แนวคิด 'รักษ์น้ำ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพื่อประเทศไทยที่ยั่งยืน' Save Water and Save Nature For a Sustainable Thailand
Cr. Kanok Shokjaratkul
มีวัตถุประสงค์ จุดประกายให้คุณครูส่งต่อความตระหนักรู้และแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน สร้างสรรค์กิจกรรมอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
สร้างกระบวนการเรียนรู้ให้นักเรียนเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม พัฒนาท้องถิ่น ไปสู่การสร้าง พลเมืองสิ่งแวดล้อม ขับเคลื่อนการอนุรักษ์น้ำต่อไป"
- ร่วมด้วยช่วยกัน
จงรักษ์ ฐินะกุล ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านส่งเสริมและเผยแพร่ กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า รู้สึกยินดีและขอบคุณ ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย ที่จัดโครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุนี้ขึ้นมา
"เพราะลำพังภาครัฐ ทำงานคนเดียวไม่ได้ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากร โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ซึ่งสำคัญมาก น้ำคือชีวิต
ความมั่นคงทางน้ำ ต้องมีการจัดการตั้งแต่ ต้นน้ำ มีต้นทุนยังไง กลางน้ำ มีการจัดการยังไง และ ปลายน้ำ จะทำอย่างไร ที่ไม่ให้น้ำสกปรกไหลลงทะเล"
- รักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยู่
มธุวลี สถิตยุทธการ ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซันโทรี่ เบเวอเรจ แอนด์ ฟู้ด ประเทศไทย กล่าวว่า โครงการนี้เป็นแผนดั้งเดิมมาจากประเทศญี่ปุ่น
"เราเป็นบริษัทเครื่องดื่มหลายหลาก ทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ ที่ญี่ปุ่นเขาจะใช้น้ำที่ผลิตจากน้ำธรรมชาติ ใช้บ่มวิสกี้
เขามีความเชื่อว่า ถ้าใช้ทรัพยากรธรรมชาติไปแล้วไม่รักษามันก็จะหมดไป ถ้าต้องการให้บริษัทมีความยั่งยืนทางธุรกิจ ก็ต้องรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ไป ก็เลยมีพันธสัญญาการอยู่ร่วมกันระหว่างบุคคลและธรรมชาติ
เดิมใช้คำว่า มิซุยโตะ อิคิรุ แปลว่า การอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับธรรมชาติ แล้วตั้งเป็นโครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ ขึ้นมา
ของญี่ปุ่นจะเน้นสร้างเด็กให้มีความรักธรรมชาติ เชื่อว่าเด็กจะส่งต่อรุ่นต่อรุ่น
เราเป็นบริษัทลูก ก็ได้รับการสร้างคุณค่าของการอยู่ร่วมกับธรรมชาติขึ้นมา ริเริ่มโครงการนี้เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
ยึดมั่นในคอนเซปต์ว่า เราต้องสร้างเด็กให้เป็นพลเมืองรู้จักรักษาน้ำและทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืนต่อไป
คำว่า มิตซุยกุ มาจากคำว่า มิตซุย กับ อิกุ มิตซุยแปลว่าน้ำ อิกุแปลว่า Education มิตุซุอิกุเป็นการให้ความรู้เด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องน้ำ"
- การใช้ชีวิตมีผลต่อธรรมชาติ
อเล็กซานเดอร์ ไซมอน เรนเดลล์ ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษา (EEC) กล่าวว่า ศูนย์สิ่งแวดล้อมศึกษาให้ความสำคัญกับการทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ ร่วมกับกลุ่มเยาวชนในพื้นที่
"ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โครงการรักษ์น้ำมิตซุยกุ ได้สร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องน้ำ เชื่อมต่อกับทุก ๆ ภูมิภาคของประเทศไทย
ทำให้เยาวชนเข้าใจว่า การดำรงชีวิตของตัวเองสร้างผลกระทบอะไรให้กับ ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ และทะเล บ้าง
ค่ายรักษ์น้ำที่ จ. กระบี่ ทั้ง 3 วันนี้ นักเรียนและคุณครูได้เวิร์คช็อปเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์แหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม ความสำคัญของน้ำ ผู้รักษาสมดุลแห่งห้องทะเล
ได้ไปศึกษาธรรมชาติของท้องทะเล ได้ไปศึกษาพฤติกรรมและที่อยู่อาศัยของฉลามครีบดำ ด้วยกิจกรรมดำน้ำตื้น และได้ไปชมศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล
การร่วมมือกันของภาครัฐและภาคเอกชนก่อให้เกิดพลังสนับสนุน โครงการนี้จึงมีโอกาสสร้างกระบวนการเรียนรู้ผ่านห้องเรียนธรรมชาติ
เป็นความหวังที่จะได้เห็นเยาวชนกลุ่มนี้เติบโตมาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมในอนาคต"