ทำงานแบบเอเชีย แต่แชร์ไอเดียแบบตะวันตก เทคนิคดัน NEO สู่แบรนด์ที่ต้องมีทุกบ้าน !
“คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนพูดคุยกับคุณณิชมน ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายนวัตกรรมธุรกิจ เพื่อเข้าใจวิธีคิด วิธีการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร รวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างการทำธุรกิจและสิ่งแวดล้อมของบริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน)
ถ้าพูดถึงแบรนด์สินค้าอุปโภคที่อยู่ในประเทศไทยอย่างผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกาย ผลิตภัณฑ์ขจัดกลิ่นกาย และผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็กหลายคนคงมองเป็นภาพของผู้เล่นจากต่างประเทศ
แต่ภายใต้ตลาดดังกล่าวยังมีหนึ่งผู้เล่นสัญชาติไทยอย่าง บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ที่ใช้ระยะเวลาเพียง 35 ปี หรือเพียง 1 เจเนอเรชั่นในการเติบโตเทียบเคียงกับผู้เล่นต่างประเทศ จนปัจจุบันสามารถขยายตลาดไปจำหน่ายในต่างประเทศได้กว่า 20 ประเทศ
นอกจากความสำเร็จในการปลุกปั้นแบรนด์ลูกไม่ว่าจะเป็น Fineline, D-nee, BeNice, TROS, Eversense, Vivite, Smart และ Tomi แล้ว นีโอยังถือเป็น “ผู้นำทางความคิด” ของบริษัทมหาชนที่จริงจังกับเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและจริงจังกับการเข้าสู่สถานะความเป็นกลางทางคาร์บอนและเน็ตซีโร่ตามปฏิญญาของสหประชาชาติ ภายใต้แนวคิดการทำงานของชาวนีโอที่ว่า “ทำงานแบบเอเชียแต่แชร์ไอเดียแบบตะวันตก”
ดังนั้น วันนี้ “คอลัมน์ The Thought Leaders ผู้นำทางความคิด” ชวนพูดคุยกับคุณณิชมน ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายนวัตกรรมธุรกิจ เพื่อเข้าใจวิธีคิด วิธีการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร รวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างการทำธุรกิจและสิ่งแวดล้อม
ถ้าพูดถึงแบรนด์ NEO คนอาจไม่ค่อยรู้จัก แต่พอพูดชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่เราทำ ทุกคนรู้จักดีมาก เคยเจอประสบการณ์นี้กับตัวเองไหม
ตั้งแต่เด็ก ก่อนจะมาทำงานก็เจอประสบการณ์แบบนี้ (หัวเราะ)
ตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนเพื่อนก็จะคุยกันว่าที่บ้านทำอะไร เราก็จะไม่ได้บอกว่าทำบริษัท NEOแต่จะบอกว่าที่บ้านทำ Fineline แทน คือจะไม่ค่อยได้พูดถึง NEO เพราะคนทั่วไปไม่ค่อยรู้จัก
หรือเวลาผู้ร่วมงานของเราบอกคนอื่นว่าทำงานที่ไหน ก็จะไม่ค่อยมีใครบอกว่าทำที่ NEO เขาจะบอกว่าทำที่ Fineline ทำที่ D-nee ทำที่ BeNice แทน
ทั้งหมดมาจากที่เราไม่ได้โปรโมทชื่อบริษัท NEO ในตอนนั้น คือเราใช้วิธีนำเสนอชื่อแบรนด์ผลิตภัณฑ์ของเราซึ่งมีค่อนข้างหลากหลายและแตกต่างกันไปตามชนิดของกลุ่มผลิตภัณฑ์และกลุ่มลูกค้า ซึ่งเวลาทำการตลาดในตอนนั้นจะง่ายกว่าการที่มีแบรนด์ใหญ่มาครอบไว้
แต่ช่วงไม่นานมานี้ เรามีการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ และเสนอขายหุ้นในชื่อ NEO คนก็มีคำถามว่า NEO คืออะไร เราก็เลยพูดถึง Corporate Brand มากขึ้น
ในฐานะเจนฯ 2 เรียนรู้วิธีคิดหรือหลักการทำงานอะไรมาจากคุณพ่อคุณแม่บ้าง
สิ่งที่เรียนรู้เลยคือต้องทำงานหนัก เพราะโตมาก็เห็นพ่อแม่ทำงานแบบนั้นมาตลอด
อีกอย่างคือเราต้องตามเทรนด์ใหม่ๆ ตลอด ถ้าเคยเห็นรูปคุณพ่อคุณแม่จะรู้ว่าทั้งสองท่านยังมีความเป็นวัยรุ่นในตัวอยู่มาก ซึ่งความจริงตอนนี้ท่านอายุ 60 กันแล้วทั้งคู่
เพราะเขาต้องคอยติดตามเทรนด์เสมอ แล้วของที่เราขายก็เป็น FMCG หรือ Fast-Moving Consumer Goods (สินค้าสำหรับใช้ในชีวิตประจำวันที่ใช้แล้วหมดไป ถูกซื้อมาและขายไปอย่างรวดเร็ว) ซึ่งก็ Fast-moving จริงๆ นะคะ เทรนด์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ตั้งแต่โตมาเราก็จะเห็นว่าอะไรกำลังเป็นกระแส ตอนนี้เทรนด์เป็นยังไง แล้วเราก็เห็นว่าเขาจะปรับให้รับเข้ากับเทรนด์ทันที
อย่างแพร์ก็จะชอบตามเทรนด์ใหม่ๆ รวมถึงเรื่องแฟชั่น เขาก็จะสอนว่าถ้าเป็นแฟชั่นที่มาแล้วอยู่ไม่นาน ก็ไม่ต้องซื้อแพง แต่ถ้าอะไรที่อยู่ได้นานแล้วเป็นสไตล์เราจริงๆ ก็ซื้อที่ราคาสูงขึ้นมาหน่อยได้
วัฒนธรรมการทำงานที่นีโอเป็นยังไงบ้าง มี Work Life Balance ไหม
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ทำงานหนักค่ะ เป็นไทป์ของคนบ้างาน ซึ่งก็เป็นคนประเภทเดียวกันตั้งแต่แรกที่เราเลือกรับเข้ามาร่วมงาน แล้วทำไมพวกเขาถึงทำงานหนักกัน คำตอบคือนั่นเพราะเราให้เขาทำงานที่เขาชอบ เมื่อเขาชอบแล้วเขาก็สามารถเอ็นจอยไปกับมันได้
อีกอย่างคือที่นี่เราเปิดโอกาสให้ทุกคนได้เสนอไอเดียอยู่เสมอ
ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเป็นไอเดียที่เราคิด เราก็จะรู้สึกอยากทำ จะให้ทำถึงเที่ยงคืนเราก็ยังอยากทำ แต่ถ้าโดนสั่งมาแล้วดันไม่ได้เห็นด้วยอีก ทีนี้ 5 โมงก็อยากกลับบ้านแล้ว ดังนั้นเราจึงต้องให้เค้าทำงานแล้วแฮปปี้
เข้าใจว่าเรียนมาในสังคมแบบวัฒนธรรมตะวันตกตั้งแต่เด็กจนถึงปริญญาโท รู้สึกคัลเจอร์ช็อกไหมตอนเข้ามาทำงานในวัฒนธรรมการทำงานแบบไทย
ไม่ค่อยรู้สึกว่าเป็นปัญหาค่ะ เพราะเราก็มีครอบครัวที่เป็นคนไทย ส่วนมุมมองต่อการทำงาน คิดว่าที่นี่เราเป็นแบบลูกครึ่งมากกว่า คือ เราให้ Freedom to Speech (เสรีภาพในการพูด) แบบตะวันตก แต่ถ้าเป็นเรื่องเวลาทำงาน เราเป็นแบบเอเชีย (หัวเราะ)
เรารู้สึกว่าแบบนี้เป็นส่วนผสมที่ดีในการทำงานถ้าเรารู้สึกว่าดึกเกินไปบ่อยๆ เราก็จะบอกว่า ช่วงนี้หนักหน่อยนะ แต่เดี๋ยวคุณลาไปพักผ่อนได้ เพราะทุกคนต้องการเบรก ไม่ใช่หนักตลอด ถ้าหนักตลอดเวลามันไม่ไหวจริงๆ มันจะมีผลเสียต่อสุขภาพด้วย
เล่าให้ฟังได้ไหมว่าเรียนจบอะไรมา แล้วมาเริ่มงานที่นี่ได้ยังไง
เรียนจบด้านเทคโนโลยีชีวภาพมาค่ะ แต่จริงๆแล้ว ก็ชอบทั้งชีวะและเคมี ที่รู้ตัวว่าชอบเคมีเพราะว่าเวลาอาบน้ำจะเป็นคนที่อาบน้ำนานมาก แล้วพอตัวเองเริ่มมีความรู้เรื่องเคมีบ้างก็จะชอบอ่านส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่อยู่หลังบรรจุภัณฑ์ว่ามีสารตัวไหนบ้างที่เรารู้จัก
ส่วนเวลาทำการทดลองในห้องแล็บที่โรงเรียนก็รู้สึกว่าชอบ โดยเฉพาะวิชาชีวะเคมี เรื่องเกี่ยวกับพวกสารสกัดอะไรต่างๆ ที่ได้มาจากธรรมชาติ
ตอนปริญญาตรีเลือกเรียนด้านจุลชีวะและโรคติดต่อ (วิทยาศาสตร์ชีวภาพ) ส่วนปริญญาโทเรียนด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology)
ตอนเริ่มงานที่นี่ก็ไม่ได้ถึงกับว่านำความรู้ที่เรียนทั้งหมดมาใช้เป๊ะๆ แต่ก็ถือว่าเรามีความรู้พื้นฐานอยู่ในระดับหนึ่ง
ตอนเริ่มทำงานแรกๆ เรามาอยู่ในส่วนงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ด้วยความที่บริษัทเราเป็นของคนไทย และเรามีทีมงานที่มีศักยภาพในการคิดค้นและพัฒนาสูตรของผลิตภัณฑ์ขึ้นมาเองได้ ตอนนั้นก็จะมีพี่ๆ ในทีมคอยสอนงานบวกกับความรู้ด้านชีวะและเคมีที่เรามีก็สามารถต่อยอดกันได้
แต่สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องวัฒนธรรมองค์กร ผู้ร่วมงานของเราหลายคนที่นี่ทำงานกับเรามายาวๆ บางคนอยู่มา 25-32 ปี เกือบเท่ากับอายุบริษัท ดังนั้นสิ่งที่ได้ตามมาคือการส่งต่อองค์ความรู้ให้กับรุ่นต่อๆ ไป รวมถึงตอนที่แพร์เข้ามาทำงานด้วย
หลังจากเรียนจบมาก็ยังมีไปเรียนคอร์สด้าน Cosmetic Science (วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง) ไปหาความรู้เพิ่มเติมว่าเราจะปรุงสูตรผลิตภัณฑ์ยังไงได้บ้าง มันต้องใช้ความรู้ด้านเคมีเยอะและด้วยความที่เรามีพื้นฐานอยู่แล้วก็สามารถต่อยอดได้
แล้วเริ่มมาดูแลงานด้าน ESG ได้ยังไง
ด้วยความที่เราดูแลงานทั้งฝั่ง Product Development (การพัฒนาผลิตภัณฑ์) แล้วก็ฝั่ง Commercial (งานเชิงพาณิชย์) ด้วย ซึ่งในฝั่งของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เราก็ต้องคำนึงถึงเรื่อง ESG ด้วย เพราะมันคือต้นทาง ถ้าจะเริ่มทำ ESG อย่างจริงจัง มันต้องเริ่มกันตั้งแต่ต้นทาง
เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการคัดสรรวัตถุดิบเลย ว่าสารสกัดเป็นยังไงบ้าง เมื่อใช้เสร็จแล้วจะเป็นยังไง เช่นเมื่อผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าเสร็จแล้วทิ้งน้ำลงไป สารที่อยู่ในน้ำทิ้งเหล่านั้นมันจะเป็นยังไงต่อบ้าง ซึ่งเราได้พัฒนาให้สูตรผลิตภัณฑ์ของเราอยู่ในเกรด Biodegradable (ย่อยสลายตามธรรมชาติได้) ซึ่งได้การรับรองจาก สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ)
ESG ของบริษัทเริ่มตั้งแต่ตอนไหน
จริงๆ ที่บริษัทให้ความสนใจในเรื่องนี้และเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่แพร์จะเข้ามาร่วมงาน ทำกันมามากกว่า 10 ปี แล้ว ชาวนีโอสนใจเรื่องนี้มาก โดยเฉพาะคุณพ่อจะบอกตลอดว่า ไปอยู่ที่ไหนเราต้องเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ไม่ใช่น่ารังเกียจไปอยู่แล้วสร้างความเดือดร้อนให้กับชุมชน มันก็ไม่น่ารัก เราต้องเป็นเพื่อนบ้านที่น่ารัก
อย่างชุมชนที่อยู่รอบข้างเราก็จะมีการทำกิจกรรมร่วมกันเรื่อยๆ ก็จะมีคณะนักเรียนเข้ามาศึกษาดูงานที่โรงงาน ซึ่งที่โรงงานของเรามีการทำธนาคารน้ำใต้ดินต้นแบบให้ได้เข้ามาดูด้วย
อีกอย่างที่สำคัญคือเรื่องบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์แทบทุกอย่างของเราสามารถนำกลับไป recycle ต่อได้ โดยเรามีต้นแบบคือบรรจุภัณฑ์ของแบรนด์ BeNice ที่เราใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิล หรือ PCR HDPE ระดับฟู้ดเกรดฝีมือคนไทย ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) ว่าสะอาด ปลอดภัย ปลอดสารเคมีตกค้าง ในการทำขวดใส่ผลิตภัณฑ์
เข้าใจว่าโปรดักต์ทุกตัวของนีโอมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก มีวิธีสร้างระบบนิเวศน์ด้านน้ำยังไงให้ยั่งยืน
น้ำเป็นจิตสำนึกของชาวนีโอ น้ำเป็นส่วนประกอบหลักในเกือบทุกผลิตภัณฑ์เรา ดังนั้นบริษัทจึงให้ความสำคัญและใช้เทคโนโลยีจำนวนมากมาใช้ในการบำบัดน้ำ ไม่ปล่อยน้ำเสียสู่ภายนอกเลย แล้วน้ำในบ่อน้ำพุที่อยู่หน้าโรงงานก็เป็นน้ำส่วนที่เราต่อมาจากระบบบำบัดน้ำจากโรงงานข้างใน ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความผิดปกติกับน้ำที่หน้าโรงงาน ทุกคนจะรู้ทันทีว่าต้องทำอะไรสักอย่าง คือเราโชว์คุณภาพน้ำของเราที่หน้าบ้านเลย มันเหมือนกับว่า ถ้าน้ำอยู่ในท่อตลอด เราอาจจะไม่เห็น แต่ถ้าเราเอาน้ำมาไว้ที่หน้าบ้าน ตรงน้ำพุ มันเป็นเรื่องที่ว่าทุกคนจะช่วยกันเป็นตำรวจในการตรวจดูความสะอาดของระบบน้ำของเรา
น้ำที่ได้รับการบำบัดแล้วเราก็นำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ใหม่ เอามาใช้ในระบบชำระในห้องน้ำและก็นำมาใช้รดน้ำต้นไม้ด้วย ทุกคนที่นี่จะรู้ว่าน้ำที่เราใช้เป็นน้ำที่ผ่านการบำบัดมาอย่างดีแล้ว (ยิ้ม)