'เที่ยวกรุงเทพฯ' แบบ LOW Carbon นั่งเรือไฟฟ้าไป 'ตลาดนางเลิ้ง' ของอร่อยเพียบ
"เที่ยวกรุงเทพฯ" แบบรักษ์โลก LOW Carbon ด้วยเรือไฟฟ้า ล่องเรือฟรี! ไปปักหมุดที่ "ตลาดนางเลิ้ง" แหล่งรวมร้านอร่อยระดับตำนาน ร้านเก่าแก่บางร้านขายมานาน 60-70 ปี
วันหยุดยาวช่วงปลายปีแบบนี้ ใครอยากออกไปเที่ยวกรุงเทพฯ แบบไม่ต้องเหนื่อยมาก เน้นเที่ยวพักผ่อนชิลๆ แบบ One day Trip แนะนำให้ลองไปเที่ยวรักษ์โลกแบบ LOW Carbon ในเส้นทาง “ล่องเรือคลองผดุง (เที่ยว) กรุง (ให้) เกษม” ด้วยเรือไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดไม่มีมลพิษกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมชมบรรยากาศบ้านเรือนและกลุ่มอาคารโบราณอันสวยงามตลอดสองฝั่งคลอง
การล่องเรือไฟฟ้าท่องเที่ยวในคลองผดุงกรุงเกษมนั้น นักท่องเที่ยวสามารถแวะขึ้นท่าน้ำต่างๆ ได้จำนวน 11 ท่าด้วยกัน ซึ่งแต่ละท่าก็มีจุดท่องเที่ยวชุมชนหลายแห่ง ยกตัวอย่างครั้งนี้ กรุงเทพธุรกิจ จะพาไปปักหมุดเที่ยวที่ย่าน “ตลาดนางเลิ้ง” ซึ่งนอกจากจะเดินทางสะดวกสบายแล้ว ยังได้ชิมของอร่อยจากร้านดังระดับตำนานที่มีให้เลือกมากมายอีกด้วย
- "เที่ยวกรุงเทพฯ" ด้วยเรือไฟฟ้า เปิดวิธีเดินทางง่ายๆ แถมนั่งฟรี!
อย่างที่บอกไปว่าเส้นทางท่องเที่ยวครั้งนี้ สามารถเดินทางไป-กลับ ได้ภายในวันเดียวด้วยรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ขึ้นจากต้นทางจากสถานีใดก็ได้ แล้วมาลงปลายทางที่ “สถานีหัวลำโพง” เดินออกที่ประตูทางออกหมายเลข 2 จากนั้นเดินออกมานอกสถานีเล็กน้อย ข้ามถนนมายัง “ท่าเรือสถานีรถไฟหัวลำโพง” ซึ่งจะมีเรือไฟฟ้าคอยให้บริการอยู่
ความพิเศษคือ บริการล่องเรือไฟฟ้าในเส้นทางคลองผดุงฯ ที่ดำเนินการโดยกรุงเทพมหานคร และบริษัทกรุงเทพธนาคมจำกัดนั้น นักท่องเที่ยวสามารถ “นั่งฟรี” ได้ตลอดสาย เช็กตารางเรือและการให้บริการได้ที่ KrungthepThanakom หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 1672 โดยช่วงเวลาการให้บริการ ได้แก่
- วันจันทร์-ศุกร์ มีให้บริการเฉพาะช่วง 6.00-9.00 น. และ 16.00-19.00 น. (เรือออกทุก 20 นาที)
- วันเสาร์-อาทิตย์, วันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการตั้งแต่เวลา 8.00-19.00 น. (เรือออกทุก 1 ชม.)
- ชมวิว “ชุมชนยศเส-โบ๊เบ๊” อาคารเก่าแก่ที่แต่งแต้มสีสันใหม่
หลังจากลงเรือไฟฟ้าจาก “ท่าเรือสถานีรถไฟหัวลำโพง” แล้ว เราก็จะเดินทางล่องไปตามคลองผดุงฯ โดยมีจุดหมายปลายทางที่ “ท่าเรือนครสวรรค์” ซึ่งเส้นทางล่องเรือสายนี้จะผ่าน “ชุมชนตลาดโบ๊เบ๊” ตลาดขายส่งเสื้อผ้าราคาสุดคุ้ม จุดนี้จะได้ชมกลุ่มอาคารเก่าของ “ชุมชนยศเส-โบ๊เบ๊” ที่ถูกแต่งแต้มสีสันใหม่ให้สดใสสะดุดตาทั้งสีฟ้า สีชมพู สีเหลือง กลายเป็นอีกหนึ่งภาพวิวขณะล่องเรือที่สวยงามน่าชมไม่น้อยเลย
นั่งเรือชิมวิวสองฝั่งคลองไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาทีก็มาถึง “ท่าเรือนครสวรรค์” แล้ว เราขึ้นเรือจากท่านี้ แล้วเดินข้ามถนนไปหาของอร่อยๆ รับประทานให้จุใจกันที่ “ตลาดนางเลิ้ง”
- สัมผัสกลิ่นอายความเก่าแก่แต่ทรงเสน่ห์ของ "ตลาดนางเลิ้ง"
สำหรับตลาดนางเลิ้ง เป็นตลาดบกในยุคแรกๆ ของไทย มีอายุกว่า 120 ปี แม้เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแค่ไหน แต่บรรยากาศในตลาดแห่งนี้ ยังคงมีร่องรอยแห่งความเจริญรุ่งเรืองในอดีตให้รำลึกถึง เช่น อาคารเก่าที่ได้รับอนุรักษ์ไว้, ร้านค้าเก่าแก่ดั้งเดิม, ร่องรอยสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือน, โรงหนังเก่าแก่ (ยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม), ศาลเจ้าและศาลกรมหลวงชุมพรฯ เป็นต้น
โดยเฉพาะ “ศาลเจ้าตลาดนางเลิ้ง” เป็นศาลที่มีความเก่าแก่เกือบร้อยปี แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าก่อสร้างขึ้นในปีใด ทราบเพียงว่ามีมาตั้งแต่ก่อนช่วงปี พ.ศ. 2502 ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลรวมเทพเจ้าจีนหลายองค์ มีทั้งเจ้าแม่กวนอิม เทพกวนอู ปุนเถ่ากง เทพไฉ่ซิงเอี้ย เป็นต้น นอกจากนี้ยังมี “พระรูปกรมหลวงชุมพรฯ” ที่ถูกย้ายมาจากศาลเดิม ณ ข้างกำแพงวังของท่าน (ครั้งหนึ่งบริเวณนั้นมีการก่อสร้างตึก ธ.ก.ส. จึงต้องย้ายองค์ท่านมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าตลาดนางเลิ้งแทน) ซึ่งชาวบ้านก็เคารพศรัทธาเช่นกัน
อีกหนึ่งจุดเด่นของย่านนางเลิ้งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ และกลายเป็นที่จดจำของเหล่านักชิมทั่วประเทศไปแล้ว นั่นก็คือ อาหารเฉพาะถิ่นในตลาดนางเลิ้ง ที่นี่มีร้านอาหารเก่าแก่ ของทานเล่น ขนมหวาน เครื่องดื่ม ฯลฯ เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองทุกวัน (แนะนำให้มากินช่วงเวลาก่อนเที่ยง หลังเที่ยงไปบางร้านของหมดเร็วมาก) มีหลายร้านที่เปิดขายมายาวนานมีอายุถึง 60-70 ปี
- 5 ร้านอร่อยระดับตำนานใน "ตลาดนางเลิ้ง" ที่ห้ามพลาดชิม!
สำหรับร้านอาหารไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดชิม ได้แก่
1. ไส้กรอกปลาแนมตลาดนางเลิ้ง : เจ้าของร้านปัจจุบันเป็นรุ่นที่ 4 ที่สืบทอดธุรกิจไส้กรอกปลาแนมของครอบครัวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2516 อาหารว่างชนิดนี้เป็นอาหารเก่าแก่ในวังสมัยก่อน เป็นสูตรที่ถ่ายทอดกันมาร่วม 86 ปี (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2480)
2. ส.รุ่งโรจน์ เป็ดพะโล้-เป็ดตุ๋น : เริ่มขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 จากเดิมขายแต่ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ปัจจุบันมีเมนูใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลากหลาย ด้วยรสชาติความอร่อยอันเป็นเอกลักษณ์ทำให้ในปี พ.ศ. 2517 ได้รับใบรับรองเชลล์ชวนชิม จากหม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์
3. ข้าวแช่เพชรบุรี : เริ่มขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 จุดเด่นคือสูตรข้าวแช่มาจากต้นตำรับเมืองเพชรบุรีแท้ๆ เพราะเจ้าของร้านเป็นคนเมืองเพชรที่มาอาศัยอยู่ในตลาดนางเลิ้ง อีกทั้งส่วนผสมของเครื่องเคียงต่างๆ จะใช้น้ำตาลมะพร้าวจากเมืองเพชรเป็นหลัก
4. เนื้อตุ๋นนางเลิ้ง : เป็นเนื้อตุ๋นเครื่องยาจีนที่เสิร์ฟมาคู่กับทั้งข้าวสวยหรือเส้นก๋วยเตี๋ยวต่างๆ เริ่มขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499 ปัจจุบันดูแลกิจการโดยเจ้าของร้านรุ่นที่ 3
5. นันทาขนมไทย : ขายขนมไทยโบราณหลากหลายชนิดที่ได้สูตรตกทอดมาจากรุ่นคุณปู่ ซึ่งเคยเป็นต้นเครื่องอยู่ที่วังหลัง โดยเริ่มขายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 จุดเด่นคือขนมทุกชนิดจะใส่มาในกระทงใบเตยทรงสี่เหลี่ยม เน้นวัตถุดิบคุณภาพดีใส่สวนผสมให้ถึงเครื่องเพื่อคงรสชาติดั้งเดิมเอาไว้
- พักหลบร้อนในคาเฟ่ Buddha & Pals ก่อนจบทริปแบบอิ่มใจที่ "วัดเทวราชกุญชร"
หลังจากอิ่มอร่อยกับเมนูอาหารคาวหวานสไตล์ชุมชนนางเลิ้งแล้ว หากใครอยากหาสถานที่หลบไอร้อนของแดดแรงๆ ในช่วงบ่าย แนะนำให้ไปนั่งชิมเครื่องดื่มเย็นๆ ในคาเฟ่ที่ชื่อว่า “Buddha & Pals” ซึ่งตั้งอยู่ในโฮลเทล “KANVELA House” ที่นี่มีเครื่องดื่มทั้งชา กาแฟ และค็อกเทลนานาชนิดให้เลือกดื่มด่ำ เมนูแนะนำได้แก่
- Kanvela59 (กาแฟน้ำผึ้งมะนาว 130 บาท)
- His & Her (ชามะนาวสตรอว์เบอร์รีโซดา 135 บาท)
- Calm Rosie Tea (ชา Cold brew กลิ่นกุหลาบ 135 บาท) เป็นต้น
สำหรับการเดินทางไปร้านนี้ จากซุ้มประตูตลาดนางเลิ้งให้ข้ามถนนกลับมาทางเดิม แล้วเลี้ยวขวาเดินตามทางเดินริมถนนไปไม่ไกล จะเจอป้าย “ถนนกรุงเกษม” แล้วเลี้ยวซ้าย ตรงไปอีกนิดก็ถึงแล้ว ตัวร้านเป็นอาคารตึกแถวเก่าอายุร้อยปี นำมารีโนเวทใหม่ในสไตล์วินเทจเน้นปูนเปลือยและเฟอร์นิเจอร์ไม้โทนอบอุ่นสุดคลาสสิก
นั่งหลบร้อนในห้องแอร์เย็นๆ สักพักแล้ว หากใครอยากเที่ยวต่อในช่วงบ่ายแก่ๆ ก็สามารถกลับไปรอลงเรือไฟฟ้าเพื่อล่องเรือไปขึ้นที่ “ท่าเทียบเรือตลาดเทวราช” เพื่อเดินเชื่อมไปยัง “วัดเทวราชกุญชรวรวิหาร” วัดแห่งนี้ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีไฮไลต์คือพระอุโบสถที่มีพระประธานได้รับพระราชทานนามว่า “พระพุทธเทวราชปฏิมากร” ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ในแต่ละส่วนก็ถ่ายทอดเรื่องราวที่น่าสนใจในพุทธประวัติต่างๆ
ถัดมาเป็น “พิพิธภัณฑ์สักทอง” ภายในประดิษฐานรูปปั้นเหมือนสมเด็จพระสังฆราช 19 พระองค์ นอกจากนั้นยังมีรูปปั้น “องค์เทวราชเนรมิต” ซึ่งอยู่ใกล้กับพิพิธภัณฑ์ หรือหลายคนเรียกกันว่า “องค์เทพทันใจ” ปัจจุบันได้รับความนับถือมาก มีนักท่องเที่ยวสายมูทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเดินทางมาสักการะขอพรกันอย่างล้นหลาม เอาเป็นว่าใครเป็นสายมูก็สามารถมาขอพรเรื่องหน้าที่การงานกับองค์ท่านได้ ถือเป็นการจบเส้นทางท่องเที่ยวทางเรือแบบ One day Trip ได้อย่างอิ่มท้อง อิ่มบุญ และอิ่มใจ