ปลูก "อินทผลัม" โกยเงินปีละ 12 ล้าน วอนผลักดันโกอินเตอร์สร้างรายได้เข้าปท.

ปลูก "อินทผลัม" โกยเงินปีละ 12 ล้าน วอนผลักดันโกอินเตอร์สร้างรายได้เข้าปท.

ชาวสวนนนทบุรีวอนผลักดัน "อินทผลัม" โกอินเตอร์! ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศ เผยปลูกขายทำโกยเงินปีละ 12 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานเปิดกิจกรรม ชม ชิมผลผลิต "อินทผลัมนนทบุรี" เพื่อประชาสัมพันธ์และผลักดัน "อินทผลัม" ซึ่งเป็นผลไม้ของจังหวัดนนทบุรีที่สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรเป็นอันดับต้น ๆ โดยมีประธานหอการค้าจังหวัดนนทบุรี เกษตรจังหวัดนนทบุรี ประธานศูนย์เรียนรู้ และเกษตรกรผู้สนใจเข้าร่วมงาน

 

 

โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรี ได้คัดเลือก "สวนปามี 98" ของนายสุเทพ กังเกียรติกุล เจ้าของสวนอินทผลัมและเป็นประธานศูนย์เรียนรู้เชิงเกษตร ซึ่งใช้พื้นที่จำนวน 19.5 ไร่ ในพื้นที่ตำบลบ้านใหม่ อ.บางใหญ่ เป็นสถานที่เพาะปลูกอินทผลัมหลากหลายสายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์บาฮี สายพันธุ์ G2 สายพันธุ์โคไนซี่

 

นับว่าเป็นสวนอินผลัมแห่งใหญ่ลำดับ 2 ของจังหวัดนนทบุรี โดยผลผลิตที่ออกจากสวนสู่ตลาดทั้งในประเทศและนอกประเทศ เป็นผลผลิตที่ได้คุณภาพ อีกทั้งที่สวนยังมีการจำหน่ายต้นพันธุ์อินผลัม โดยในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ของทุกปี "อินทผลัม" จะเริ่มให้ผลผลิต

 

นายสุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าฯนนทบุรี กล่าวว่า จังหวัดนนทบุรีเป็นแหล่งผลิตผลไม้ที่มีคุณภาพและมีราคาสูงหลายชนิด นอกจาก "ทุเรียนนนท์" จะเป็นราชาของผลไม้จังหวัดนนทบุรีแล้ว ยังมีผลไม้อื่น ๆ ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั้งในและนอกประเทศ ทางจังหวัดนนทบุรีจึงได้คัดเลือกผลไม้ที่ดีมีคุณภาพและได้มาตรฐาน มาสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคภายใต้แบรนด์ "นนทบุรีการันตี"

 

 

ซึ่ง "อินทผลัม" ถือเป็นหนึ่งในสินค้าเกษตรที่ได้รับมาตรฐานการันตีของทางจังหวัดนนทบุรีด้วย ถึงแม้ว่าจำนวนผลผลิตอินทผลัมในจังหวัดนนทบุรีตอนนี้จะไม่มาก เนื่องจากจำนวนพื้นที่ปลูกในจังหวัดค่อนข้างมีจำกัดจากราคาที่ดินที่มีราคาแพง แต่เกษตรกรชาวสวนอินทผลัมสามารถสร้างรายได้จากการจำหน่ายอินทผลัมได้ทั้งผลสด ต้นพันธุ์ และผลิตภัณฑ์แปรรูป ในแต่ละปีมีมูลค่าที่สูงมาก

 

สำหรับราคาขายของอินทผลัมสด อยู่ที่ราคา 500-600 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ให้ผลตอบแทนสูงกับเกษตรกรที่เพาะปลูกอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรีผลักดันให้มีศูนย์เรียนรู้สำหรับเกษตรกร อินทผลัมโดยตรงเพื่อขยายกำลังการผลิตให้เป็นพืชเศรษฐกิจควบคู่ไปกับ "ทุเรียนนนท์" ต่อไปในอนาคต ถือเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่น่าจับตามอง เรียกได้ว่าอินทผลัมเป็นผลไม้ที่จิ๋วแต่แจ๋วไม่แพ้ทุเรียนนนท์เช่นกัน

 

นายสุเทพ กังเกียรติกุล เจ้าของสวนอินทผลัมปามี 98 และประธานศูนย์เรียนรู้เชิงเกษตร กล่าวว่า ด้วยความที่ครอบครัวตนเป็นเกษตรกรชาวสวนทำให้ตนซึมซับความชอบมาตั้งแต่เด็ก โดยตนจะเลือกปลูกผลไม้ที่ได้ราคาดี หรือออกผลผลิตนอกฤดูกาลเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งในปี 2554 ตนได้เริ่มหันมาปลูกอินทผาลัมอย่างจริงจัง โดยเริ่มศึกษาเรียนรู้พัฒนาลองผิดลองถูกอยู่หลายปี จนพบว่าอินทผาลัมในพื้นที่จังหวัดนนทบุรีจะมีรสชาติที่แตกต่างจากจังหวัดอื่น เนื่องจากดินในจังหวัดนนทบุรีเป็นดินสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ตกตะกอนทับถมมาหลายร้อยปี จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ทำให้ผลไม้ที่เพาะปลูกในจังหวัดนนทบุรีมีรสชาติที่ดีที่สุด เช่น ทุเรียนนนท์ มังคุดนนท์ กะท้อนบางกร่าง และอินทผาลัม เป็นต้น

 

นายสุเทพ กล่าวต่ออีกว่า ตนจึงได้ปรึกษาหารือกับทางประธานหอการค้าจังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ช่วยผลักดันให้ทางหอการค้าของจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ สนับสนุนให้อินทผลัมเป็นผลไม้ส่งออกเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ต่อไปในอนาคต เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าประเทศแถบอาหรับซึ่งเป็นต้นตำรับในการเพาะปลูกผลไม้ชนิดนี้ ในปัจจุบันยังให้การยอมรับว่าอินทผลัมของไทยเรามีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมกว่าผลผลิตจากประเทศอื่น ๆ ทำให้มีการสั่งซื้ออินทผลัมจากไทยเป็นจำนวนมาก แต่ผลผลิตมีไม่เพียงพอกับความต้องการของต่างประเทศ

 

ทั้งนี้หากทางหอการค้าช่วยส่งเสริมและรัฐบาลผลักดันให้ "อินทผลัม" เป็นพืชเศรษฐกิจส่งออกตัวใหม่ได้ ก็จะสร้างรายได้ให้กับชาวสวนอินทผลัมตามมา และส่งผลให้เกษตรกรบางส่วนหันกลับมาเพาะปลูกอินทผลัมเพิ่มขึ้นทั่วประเทศเนื่องจากได้ผลตอบแทนราคาดีและเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาหรับ ซึ่งจะเป็นช่องทางในการสร้างรายได้เข้าประเทศได้อีกทาง ซึ่งปีที่ผ่านมาสวนอินทผลัมของตนสามารถสร้างรายได้กว่า 12 ล้านบาทต่อปี

 

ข่าวโดย ศุภชัย สินธ์ประเสริฐ จ.นนทบุรี