บุกค้นคลินิกเถื่อน'ออลไอวีเอฟ'ย่านเพลินจิต
บุกค้นคลินิกเถื่อน'ออลไอวีเอฟ'ย่านเพลินจิต เจ้าของเก็บหลักฐาน-เวชระเบียนเรียบ
ที่อาคารศิวาเทล ถนนเพลินจิต พ.ต.อ.นภันวุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.ดส. พร้อมด้วย น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สน.ลาดพร้าว และ กก.ดส. ประมาณ 20 นาย ได้เดินทางมาพร้อมหมายค้น ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ เลขที่105/2557 เพื่อขอตรวจค้นสถานพยาบาล หรือคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางสูตินรีเวชชื่อว่า "ออลไอวีเอฟ" ตั้งอยู่ภายในอาคารศิวาเทล ชั้น 12เอ (ออฟฟิต) และอัลไพน์ สตาร์ชั้น 15 (เป็นคลีนิกไว้ฉีดเชื้อ) ภายหลังจากมีพยานให้การว่า คลินิกดังกล่าวเป็นสถานที่ทำการช่วยเหลือเด็กทารกอุ้มบุญทั้ง 9 คนให้กับนายชิเกตะ มิตชูโตกิ อายุ 24 ปี ที่รับผิดชอบเป็นผู้ปกครองอุ้มบุญเด็กทารกดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางมาตรวจสอบ
เบื้องต้นพบว่า คลินิกดังกล่าว ได้มีการขนย้ายสิ่งของที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วย และเอกสารเวชระเบียนประวัติการรักษาของผู้ป่วยทั้งหมดไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อประมาณวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยที่ยังไม่สามารถติดต่อเจ้าของที่ดำเนินการจดทะเบียนได้ ทราบชื่อคือ นพ.พิสิฐ ตันติวัฒนากุล ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้จดทะเบียนใบอนุญาตประกอบการสถานพยาบาล โดยเจ้าหน้าที่ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงในการตรวจค้น
พ.ต.อ.นภันวุฒิ เปิดเผยว่า ทาง บช.น. และ กก.ดส. พร้อมด้วย น.ต.นพ.บุญเรือง ได้เดินทางมาตรวจค้นตามหมายค้นของศาล เพื่อดำเนินการตรวจยึดพยานเอกสารที่เกี่ยวข้อง กับการอุ้มบุญ ตามที่เป็นข่าว ส่วนสาเหตุที่มาตรวจค้นสถานที่นั้น ทางเจ้าหน้าที่สืบทราบพบพยานหลักฐานว่า สถานพยาบาลดังกล่าว เป็นสถานที่ให้บริการกรณีอุ้มบุญ ที่เป็นข่าวเด็กทารกทั้ง 9 ราย ซึ่งผลการตรวจนั้น ได้ทำการตรวจยึดพยานเอกสารที่เกี่ยวข้องเอาไว้แล้ว และยังมีพยานเอกสารบางส่วน ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพราะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนตัวทางนายแพทย์ที่รับใบอนุญาตประกอบสถานพยาบาล ยังไม่สามารถติดต่อได้ ยังอยู่ในระหว่างการติดต่อการดำเนินการตรวจค้น นอกจากนี้ยังได้มีการประสานนิติกรฝ่ายอาคาร ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าทั้ง 2 ชั้น สถานพยาบาลแห่งนี้ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี
เมื่อสอบถามว่า มีการระบุว่า เด็กทั้ง 9 คน เป็นลูกของชายชาวญี่ปุ่นจริงหรือไม่นั้น พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ กล่าวว่า เด็กทารกที่ตรวจพบทั้ง 9 คน ขณะนี้อยู่ในการดูแลของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบเอกสารสูติบัตร ทะเบียนบ้าน ตามที่เป็นข่าวว่า ชายชาวญี่ปุ่นเป็นบิดา ซึ่งเราก็ได้ข้อมูลเบื้องต้นทางทะเบียนแล้วว่า ชายชาวญี่ปุ่นดังกล่าวได้แจ้งเอาไว้ว่าเป็นพ่อของเด็กหลายคน ซึ่งต้องรอผลการตรวจสอบเอกสารของเด็กทั้ง 9 คน กับทางทะเบียนที่รับแจ้งไว้นั้น เป็นเด็กกลุ่มเดียวกันหรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีเด็กทั้งหมดที่ตรวจสอบ 13 ราย เชื่อว่าน่าจะมีมากกว่า 1 คน คือเด็กทารกที่อุ้มบุญทั้ง 9 คน ใช้สถานพยาบาลที่ไหนนั้น น่าจะนำมาทำที่นี่ทั้งหมด ตามที่ตรวจค้นพบอยู่
พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ กล่าวอีกว่า การทำงานในตอนนี้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะ รรท.ผบ.ตร. ได้สั่งการให้รวบรวมหลักฐานในส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น การตรวจค้นเพื่อให้ได้พยานหลักฐานว่า เด็กทั้ง 9 คน หรือผู้หญิงที่มารับบริการทำที่นี่หรือไม่ ใบเกิด หรือหนังสือเดินทาง รวมทั้งชาวญี่ปุ่นที่ได้เดินทางออกไปนอกประเทศจริงหรือไม่ ทั้งหมดนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ คาดว่าสักพักก็คงจะทราบเรื่อง ส่วนทนายนั้น รอง ผบช.น. ได้มีการเชิญตัวมาสอบถามแล้ว ข้อมูลจะอยู่ที่ฝ่ายสำนวน รวมทั้งเด็ก 3 คน ที่เดินทางออกไปนอกประเทศนั้น คาดว่าภายในวันนี้ ก็จะทราบว่าเป็นใคร ส่วนจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์หรือไม่นั้น คงต้องรอการรวบรวมพยานหลักฐานอีกสักระยะ เพราะคดีบางส่วนเกิดขึ้นที่ประเทศไทย เด็กเดินทางออกไป คงจะต้องไล่ตามสืบสวนสอบสวนต่อ องค์ประกอบในการค้ามนุษย์ ก็จะมีอีกหลายส่วน ถ้าพยานหลักฐาน หรือความผิดทางกฎหมายที่จากการตรวจสอบไปถึง ทางผู้บังคับบัญชา ได้กำชับมาว่าจะดำเนินการอย่างแน่นอน โดยการตรวจสอบข้อมูลประวัติชายชาวญี่ปุ่นนั้น พ.ต.อ.วิทวัส ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว จะเป็นผู้ดำเนินการประสานสถานทูตญี่ปุ่น เบื้องต้นยังไม่ได้มีการแจ้งข้อหากับชายชาวญี่ปุ่นแต่อย่างใด และยังไม่พบการประกอบธุรกิจในเมืองไทยแต่อย่างใด คาดว่าการเดินทางมาประเทศไทย น่าจะเข้ามาติดต่อเกี่ยวกับเด็กทารกทั้งหมด ซึ่งจะมีการประชุมความคืบหน้าที่ สน.ลาดพร้าว เวลา 16.00 น. ต่อไป
ด้าน นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ในวันนี้เราได้มาร่วมตรวจค้นสถานพยาบาลดังกล่าว ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้พบว่า สถานพยาบาลดังกล่าวมีความไม่ถูกต้องตามประกาศ พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 ตามมาตรา 34 (2) เรื่องของผู้ประกอบการและมีใบอนุญาตเปิดสถานพยาบาล ยินยอมหรือมอบให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ได้ปฏิบัติหน้าไม่ได้ตามมาตรฐาน โดยการที่ไม่ได้มาตรฐาน คือการไม่ได้ให้การบริการการตั้งครรภ์จากหญิงอื่น ตามที่แพทยสภาได้กำหนด ให้ผู้ที่จะต้องมาตั้งครรภ์แทนจะต้องเป็นเครือญาติ โดยสายเลือด และจะต้องไม่มีการรับค่าจ้าง หรืออมิตรสินจ้าง ทางผู้ประกอบการสถานพยาบาลตรงนี้ มีโอกาสได้ตักเตือนแล้วในการตรวจเยี่ยมครั้งแรกเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน มีความผิดยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับทางราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย เพราะการดำเนินการเรื่องเทคโนโลยีเจริญพันธุ์จะต้องขึ้นทะเบียนก่อน เบื้องต้นก็จะดำเนินการสั่งปิดสถานพยาบาลดังกล่าว
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขสามารถดำเนินการเหล่านี้ตามกฎหมายมาตรา 50 เพราะถือว่าเป็นการทำให้เกิดอันตรายและเกิดความร้ายแรงต่อชีวิต ทั้งนี้จะดำเนินการฟ้องร้องแจ้งกับสถานพยาบาลดังกล่าวต่อไป โดยจะต้องมีโทษจำคุกและถูกปรับ ส่วนแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้มาตรฐานก็จะส่งให้แพทยสภาตรวจสอบในส่วนของการผิดจริยธรรม เพื่อเข้าสู่กระบวนการเพิกถอนใบอนุญาต เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่าสถานพยาบาลแห่งนี้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เถื่อน แพทย์ที่ปฏิบัติวิชาชีพตรงนี้ก็มีใบอนุญาต แต่ทางด้านเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนไว้ และการดำเนินการยังผิดด้วย โดยไม่ได้มีการขออนุญาตเปิดสถานพยาบาลในชั้น 15
เมื่อถามถึงข้อมูลที่ว่า มีเด็กรายอื่นๆ ที่มาร่วมทำการอุ้มบุญสถานพยาบาลดังกล่าวหรือไม่นั้น นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลตรงนั้น เพราะเวชระเบียน ทางเจ้าหน้าที่ผู้ประกอบการทำการเคลื่อนย้ายไปทั้งหมดแล้ว ยังอยู่ระหว่างติดตามข้อมูลดังกล่าว ส่วนการตรวจสอบนั้น บริเวณชั้น 12 คลินิกชื่อว่า ออลไอวีเอส พบว่ามีเคาท์เตอร์ติดต่อหมอตรวจ มีห้องแลปหรือ ห้องปฏิบัติการ ซึ่งชั้น 15 มีลักษณะเป็นคลินิกเช่นเดียวกัน แต่ถือว่าเป็นคลินิกเถื่อน ไม่ได้จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล 2541 ตามมาตรา 16 เรียกว่าเถื่อนไม่ได้ขออนุญาต ซึ่งมีโทษจำคุก 3 ปี ปรับ 30,000 บาท และรายชื่อผู้เช่าชั้น 12 และชั้น 15 เป็นคนเดียวกัน
เมื่อถามว่า ทำไมถึงเมื่อตรวจครั้งที่แล้ว จึงไม่ดำเนินการ นพ.บุญเรือง กล่าวว่า ครั้งที่แล้วได้รับแจ้งว่า มีการให้บริการให้เทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ แต่ยังไม่ทราบว่า มีการขออนุญาตหรือไม่ จึงได้มาทำการตรวจสอบ โดยปกติสถานพยาบาลตามกฎหมาย พบว่า คลินิกที่ขึ้นทะเบียนเอาไว้ทั่วประเทศ ทำเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ทั้งหมดมี 45 แห่ง แล้วก็ในคลินิกนี้ ยังไม่ได้ขอขึ้นทะเบียน จึงมีเบาะแสและการตรวจสอบ โดยสถานพยาบาลดังกล่าว เปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2554 จนถึงปีนี้ก็ให้บริการมาครบ 3 ปี
เมื่อถามเรื่องการแยกส่วนทำเด็กหลอดแก้ว หรือเก็บน้ำเชื้อต่างๆ ที่แล้วมา ร่วมกันจะมีความผิดตามกฎหมายหรือไม่ นพ.บุญเรือง กล่าวว่า กระบวนการที่จะทำให้เด็กเกิดขึ้นมามีหลายกระบวนการด้วยกัน ถึงจะแยกส่วนมา แต่สุดท้ายทำให้เด็กเกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นวิธีการเดียวกัน ถือว่ามีความผิดทุกจุดจากแพทย์ที่ดำเนินการดังกล่าว
“ส่วนจะมีแพทย์กี่คน ที่ดำเนินการนั้น มีแค่แพทย์จดทะเบียนแค่ 1 คน โดยจะมีแพทย์คนใดบ้าง ที่ทำการตรวจสอบ ต้องรอผลจากการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ อีกครั้ง คาดว่าระหว่าง 3 ปีที่ดำเนินการดังกล่าว ไม่ได้ทำการส่งให้หน่วยงานรับผิดชอบทราบ คาดว่าน่าจะมีเด็กทารกเกิดมากว่า 100 คน อย่างไรก็ตาม อยากขอเรียนว่า คำว่าอุ้มบุญ เรามักจะบอกว่าผิดหมด ซึ่งอุ้มบุญเป็นการให้หญิงอื่นตั้งครรภ์แทนภรรยา หรือคู่สมรสไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งสิ่งที่ถูกตามข้อกฎหมายคนที่จะมาตั้งครรภ์ให้ จะต้องเป็นญาติทางสายเลือด และไม่มีการรับค่าจ้างในการตั้งครรภ์ อุ้มบุญที่ผิดกฎหมายคือ หญิงที่ไม่ได้เป็นเครือญาติ หรือรับค่าจ้าง ถือว่าเป็นการอุ้มบาปมากกว่า” นพ.บุญเรือง กล่าวว่า
เมื่อถามถึงการตรวจสอบคลินิกกรณีน้องแกรมมี่นั้น นพ.บุญเรือง กล่าวว่า เบื้องต้นได้ทำการตรวจสอบแล้วบริเวณคลินิก H.A.R.T. ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ อาคารวานิช 2 มีความผิดชัดเจน เพราะแพทย์ที่ดำเนินการไม่ได้ทำตามประกาศแพทยสภาฉบับที่ 21/2545 ไม่ใช้เครือญาติและรับจ้างอุ้มบาป แพทย์ที่เป็นเจ้าของกรณีดังกล่าวต้องส่งแพทยสภา