วอนตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่อย่างสร้างสรรค์

วอนตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่อย่างสร้างสรรค์

ผอ.สำนักพุทธโคราช วอนทุกฝ่ายร่วมกันตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่อย่างสร้างสรรค์ หวั่นกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ทำให้เกิดความแตกแยก

ความคืบหน้า การตรวจสอบทรัพย์สินวัดบ้านไร่ของคณะกรรมการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินวัดบ้านไร่และหลวงพ่อคูณฯ ซึ่งแบ่งเป็น 6 หมวดหมู่ แล้วให้เวลา 1 เดือน รวบรวมส่งนายอำเภอด่านขุนทด ส่วนกรณีเงินทดรองจ่ายก่อสร้างวิหารเทพวิทยาคมกว่า 95 ล้านบาท ให้ผู้ทดรองจ่ายเงินกับคณะกรรมการวัดไปตกลงกันว่าจะดำเนินการอย่างไร และเรื่องเงินที่หลวงพ่อคูณฯ บริจาคให้วัดบ้านไร่ 2 อ.วังน้ำเขียว รวมทั้งปัญหากรรมการวัดชุดใหม่และชุดเก่าจะมีการแก้ไขอย่างไรนั้น

ล่าสุดวันนี้ ( 2 มิ.ย. 2558 ) นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครราชสีมา และในฐานะรองประธานคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัดบ้านไร่ กล่าวว่า ภายหลังจากได้มีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลพร้อมการสวดพระพุทธมนต์ให้กับหลวงพ่อคูณฯ ครบ 15 วัน เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณความดีของท่านผ่านไปแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นการรวมพลังของพี่น้องประชาชนชาวโคราช และอีกครั้งจะมีการจัดทำบุญครบ 50 วัน ซึ่งถ้าจัดในนามของจังหวัดก็อาจจะมีการจัดในตัวอำเภอเมืองนครราชสีมา แต่สำหรับการทำบุญ 100 วัน ซึ่งยังมีเวลาอีกหลายวันที่ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องจะต้องมาร่วมกันคิดและปรึกษาหารือกัน อย่างน้อยเราไม่ได้ทิ้งวัดบ้านไร่ หลวงพ่อท่านอยู่วัดบ้านไร่ก็น่าจะไปจัดรวมกันที่วัดบ้านไร่ให้เป็นงานใหญ่ไปเลย

นายบัญชายุทธ กล่าวอีกว่า เรื่องการตรวจสอบทรัพย์สินนั้น อยากให้สาธารณชนได้ทราบว่า เรากำหนดเวลาให้กรรมการวัด ไวยาวัจกรวัด 30 วัน ช่วงนี้เราคิดอะไรหรือมีข้อมูลอะไรก็ต้องเก็บไว้ในใจก่อน เราเปิดโอกาสให้เขาได้รวบรวมทรัพย์สินของวัดให้ได้มากที่สุด ไม่ได้คิดกับเขาแบบมิจฉาทิฐิ ไม่ได้ไปคิดว่าเขาจะไปคดโกงอะไร ฉะนั้นก็ช่วยกันตรวจสอบ ช่วยกันเรียกหา เพราะบางอย่างกรรมการหามาไม่ครบ เนื่องจากสิ่งของมีมากมาย ไม่รู้ว่าเอาไปเก็บ เอาฝากตรงไหนบ้าง หรืออาจจะมีคนนั้นคนนี้ยืมไป ฉะนั้นเราก็มาช่วยกันเป็นหูเป็นตา หรือใครที่ยืมไปก็ให้เอามาส่งคืน เดี๋ยวกรรมการวัดเขาจะมีปัญหา เพราะบางครั้งอาจจะยืมไปแล้วไม่ได้บันทึกไว้ ฉะนั้นถ้ายืมไปแล้วก็ให้รีบนำมาส่งคืนซะ เพื่อให้กรรมการวัดได้รวบรวมสิ่งของเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์ที่สุด

ส่วนที่มีหลายฝ่ายวิตกว่าเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวนั้น ตนเองไม่อยากให้พวกเราที่เป็นลูกศิษย์ไปคิดในทางอกุศล อยากให้ทุกคนช่วยกันว่าสิ่งของของวัดล้วนแล้วแต่มีคุณค่ากับทุกคน ตนไม่อยากมองในเชิงว่า กรรมการวัด ไวยาวัจกรวัด เอาไปเป็นของส่วนตัว ไม่อยากให้มองอย่างนั้น เพื่อที่เราจะส่งให้กับคณะกรรมการวัดชุดใหม่ โดยกรรมการตรวจสอบฯ ที่เจ้าคณะจังหวัดตั้งขึ้นนี้ จะเป็นตัวกลางช่วยรับมาแล้วกรรมการชุดใหม่ก็รับต่อไป เรามีหลักการคิดลักษณะนี้ ไม่ใช่ว่าจะไปจับผิด ไปมีมิจฉาทิฐิกับกรรมการวัด เราไม่ได้คิดอย่างนั้น ส่วนเรื่องเงินหนี้สิน 95 ล้านบาทของวิหารเทพวิทยาคมนั้น ตนคิดว่าเป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการวัดจะต้องคุยกันเอง กรรมการตรวจสอบฯ ถึงแม้ว่าจะรู้ แต่เราก็พูดอะไรไปไม่ได้ เรารู้คือรู้แบบได้ยินเขาพูดมาว่ามีการออกเงินไปก่อน 95 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนความเป็นมา เป็นไป จะตื้นลึกหนาบางอย่างไร เราคงไม่สามารถรู้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้สำรองจ่ายเงินไปก่อนกับกรรมการวัดที่เขาคุยกันอย่างไร ฉะนั้นก็ต้องให้เขาไปพุดคุยตกลงกันเอง

ต่อข้อถามถึง เรื่องนี้แน่ใจได้อย่างไรว่าน่าจะจบด้วยดี ไม่บานปลายถึงขั้นวัดยุ่งเหยิงไร้ระบบระเบียบ นายบัญชายุทธ ตอบว่า ตนคิดว่าด้วยคุณูปการ ด้วยคุณความดี และด้วยบารมีของหลวงพ่อคูณฯ ท่านก็คงไม่อยากให้ลูกศิษย์มีมลทิน กรรมการชุดเดิมก็พยายามสร้างสรรค์ พยายามที่จะทำงานเพื่อวัดมาโดยตลอด ถ้าเรามองอีกมุมมองกรรมการวัด และไวยาวัจกรชุดนี้ ตนว่าเขามีส่วนขับเคลื่อน มีส่วนทำให้วัดพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ ทั้งกรรมการวัด ไวยาวัจรกรวัด หลวงพ่อคูณฯ และชาวบ้าน ได้ผนึกกำลังกันถึงเป็นวัดบ้านไร่จนถึงทุกวันนี้ ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าวัดจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นเราต้องมองเขาในเชิงบวกไว้ก่อน และกรรมการวัดชุดใหม่ มีอะไรเขาให้มาแค่ไหนก็รับไปแค่นั้น ส่วนอาจจะมีบางเรื่องที่อาจจะไม่ถูกต้อง ยกตัวอย่างเช่น เรื่องการทุจริตเงินของวัด ถ้ารู้ว่าเขาทุจริตก็ต้องไปหาข้อมูลเชิงลึก แล้วไปฟ้องศาล เพื่อดำเนินคดีตามกระบวนกฎหมายกันในภายหลัง